โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยมอบอำนาจให้นาย ป. ไปแจ้งความ และจำเลยเองก็ไปให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้กับจำเลยแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยรู้อยู่แล้วว่า เช็คไม่มีมูลหนี้อันชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์สั่งจ่ายเช็คให้จำเลยเพื่อชำระเป็นเงินรางวัลในการเล่นหวยใต้ดิน โดยจำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยถูกรางวัลทั้งที่ความจริงจำเลยมิได้ถูก เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายต้องถูกจับกุมคุมขังและถูกฟ้องคดีอาญาในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และจำเลยได้ไปเบิกความเท็จต่อศาลว่า โจทก์นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลย ซึ่งเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174 วรรคสอง, 177 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174 วรรคสอง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 174 วรรคสอง บทหนัก ให้จำคุก 2 ปีสำหรับความผิดตามมาตรา 177 วรรคสอง ให้จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 ประกอบมาตรา 174 ให้จำคุก 1 ปี และผิดตามมาตรา 177 ให้จำคุก 2 ปี รวมเป็นจำคุก 3 ปี
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ...ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ออกเช็คพิพาทให้แก่จำเลยเพื่อชำระเป็นเงินรางวัลหวยใต้ดิน ต่อมาโจทก์ทราบความจริงว่าจำเลยมิได้ถูกรางวัล แต่ได้หลอกลวงโจทก์ว่าถูก โจทก์จึงแจ้งธนาคารให้ระงับการจ่ายเงิน และจำเลยได้มอบอำนาจให้นาย ป. ไปแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยว่าโจทก์นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลย แล้วจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวน กับเบิกความต่อศาลตามข้อความดังกล่าวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระเป็นเงินรางวัลหวยใต้ดินให้แก่จำเลย ข้อความที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความต่อศาลในคดีดังกล่าวจึงเป็นความเท็จ เป็นการแจ้งความโดยมีเจตนาแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ และเป็นการเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีอาญา ทั้งเป็นข้อสำคัญในคดี
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เนื่องจากการที่จำเลยมอบอำนาจให้นาย ป. แจ้งความอันเป็นเท็จและจำเลยให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับและถูกควบคุมระหว่างการสอบสวนและถูกฟ้องต่อศาลทั้งการที่จำเลยเบิกความเท็จก็อาจทำให้ศาลเชื่อและลงโทษโจทก์ โจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4)
พิพากษายืน.