โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยเป็นพนักงานของโจทก์ ตำแหน่งผู้จัดการ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยได้ยื่นหนังสือลาออกและโจทก์อนุมัติแล้ว ต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540จำเลยได้ยื่นหนังสือขอรับค่าชดเชย คณะกรรมการของโจทก์มีมติให้จ่ายค่าชดเชยจำนวน 61,500 บาท แก่จำเลย เมื่อจ่ายเงินแล้วโจทก์มีหนังสือหารือไปยังสหกรณ์จังหวัดปัตตานี ได้รับแจ้งว่ากรณีของโจทก์มิใช่การเลิกจ้างจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหากมีการจ่ายแล้วขอให้ทบทวนมติ และหากเห็นว่าไม่ถูกต้องให้เรียกเงินคืนจากจำเลย คณะกรรมการของโจทก์จึงได้ประชุมและมีมติยกเลิกมติที่ให้จ่ายค่าชดเชยพร้อมทั้งให้เรียกเงินคืนจากจำเลย จำเลยต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 61,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับค่าชดเชยไปจากโจทก์โดยสุจริตการที่จำเลยได้ยื่นหนังสือลาออก แต่ในวันรุ่งขึ้นก่อนโจทก์อนุมัติการลาออก จำเลยได้ระงับการลาออกแล้วคณะกรรมการของโจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยลาออกตามหนังสือที่ยื่นไว้เดิม จึงเป็นการเลิกจ้าง จำเลยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเข้าทำงานเป็นพนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2539 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 20,500 บาท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานแม้จะยื่นหนังสือระงับการลาออกในภายหลัง แต่เมื่อคณะกรรมการของโจทก์ไม่อนุมัติในหนังสือระงับการลาออก จึงถือว่าหนังสือลาออกยังมีผลอยู่จำเลยจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย การที่จำเลยรู้ว่าตนไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย แต่กลับยื่นขอต่อโจทก์และได้รับไปแล้วเป็นการแสดงเจตนาไม่สุจริต จำเลยต้องคืนค่าชดเชยที่รับไว้แก่โจทก์พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงิน 61,500 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า เดิมจำเลยยื่นหนังสือลาออก แต่เมื่อจำเลยกลับใจโดยยื่นหนังสือยกเลิกการลาออกก่อนที่คณะกรรมการดำเนินการของโจทก์จะพิจารณาหนังสือลาออกของจำเลย หนังสือลาออกของจำเลยจึงย่อมเป็นอันสิ้นผลไปทันที เท่ากับไม่มีการขอลาออกแล้วเมื่อคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ไม่อนุญาตให้ระงับการลาออกแต่กลับไปพิจารณาให้ลาออกตามหนังสือลาออกที่สิ้นผลไปแล้วเท่ากับเป็นการให้ออกอันหมายถึงการเลิกจ้างนั้น เห็นว่าลูกจ้างมีสิทธิเลิกสัญญาจ้างได้ด้วยการลาออกจากงาน และหลังจากลูกจ้างแสดงเจตนาลาออกจากงานแก่นายจ้างแล้ว ลูกจ้างหามีสิทธิถอนเจตนานั้นได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 386 วรรคสอง ปรากฏว่าจำเลยยื่นหนังสือขอลาออกจากงานต่อโจทก์เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2540 โดยระบุให้การลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2540 เช่นนี้ถือว่าการแสดงเจตนาลาออกจากงานของจำเลยมีผลตามกฎหมายแล้วนับแต่วันยื่นหนังสือขอลาออกแม้ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยได้ยื่นหนังสืออีกฉบับหนึ่งต่อโจทก์ขอยกเลิกหนังสือขอลาออกจากงานดังกล่าวก็หามีผลเป็นการยกเลิกหนังสือขอลาออกจากงานไม่ หนังสือขอลาออกจากงานของจำเลยยังคงมีผลต่อไป เมื่อโจทก์มีระเบียบว่าด้วยพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ. 2538 หมวด 9 ข้อ 39 กำหนดว่า พนักงานหรือลูกจ้างผู้ใดประสงค์จะลาออกจากงาน ให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตนเพื่อเสนอตามลำดับจนถึงคณะกรรมการดำเนินการเมื่อคณะกรรมการดำเนินการพิจารณาอนุญาตแล้วจึงให้ถือว่าออกจากงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างที่มีผลใช้บังคับแก่โจทก์และจำเลยได้ ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์โจทก์พิจารณาอนุมัติหนังสือขอลาออกจากงานของจำเลยในการประชุมวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2540 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่หนังสือขอลาออกมีผลการลาออกจากงานของจำเลยจึงมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2540เป็นต้นไปตามที่จำเลยประสงค์ การที่จำเลยต้องออกจากงานหาใช่เพราะถูกโจทก์เลิกจ้างไม่ โจทก์ย่อมไม่มีหน้าที่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่จำเลยที่โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้แก่จำเลยเนื่องจากจำเลยลาออกจากงานจึงเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ โจทก์หามีสิทธิเรียกค่าชดเชยคืนจากจำเลยไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 407
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง