โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ารวมเป็นเงิน 287,420 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีและจ่ายค่าเสียหาย1,464,180 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 246,360 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 41,060 บาท กับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (17 กันยายน 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 16148/2542 และคดีหมายเลขแดงที่ 5953 - 5954/2539 ของศาลแรงงานกลางหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 16148/2542 และคดีหมายเลขแดงที่ 5953 - 5954/2539 จะมีโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความรายเดียวกันและคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่มูลเหตุที่โจทก์ฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ 16148/2542 เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 82/2538 ที่ให้พนักงานโจทก์และขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2538 ถึงวันที่ 25 มีนาคม 2541 ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างทั้งนี้เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิในขณะที่โจทก์ยังมีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลย แต่มูลคดีที่โจทก์ฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2541 ตามคำสั่งของจำเลยที่ 21/2541 โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ส่วนฟ้องโจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 5953 - 5954/2539 นั้น แม้โจทก์ซึ่งเป็นโจทก์ที่ 1 ในคดีดังกล่าวจะฟ้องจำเลยโดยมูลเหตุสืบเนื่องมาจากการที่ถูกจำเลยเลิกจ้างและเรียกร้องในทำนองเดียวกันกับคดีนี้ก็ตาม แต่เป็นการเรียกร้องที่สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ครั้งแรกเมื่อวันที่1 กันยายน 2538 ตามคำสั่งของจำเลยที่ 109/2538 ฉะนั้น มูลคดีที่โจทก์ฟ้องคดีนี้กับมูลคดีที่โจทก์ฟ้องตามคดีหมายเลขแดงที่ 16148/2542 และคดีหมายเลขแดงที่ 5953 - 5954/2539 ของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นมูลคดีที่มิได้เกิดขึ้นในคราวเดียวกันและประเด็นข้อพิพาทก็แตกต่างกันอีกด้วย การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางในประเด็นนี้ชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยจะต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์หรือไม่ สำหรับค่าชดเชยนั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับทำงานของจำเลยเกี่ยวกับเงินทดรองโดยโจทก์ค้างชำระเงินทดรองแก่จำเลยเป็นเงิน 62,260 บาท ตามที่ศาลแรงงานกลางได้พิพากษาไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 9201/2539 ก็ตาม แต่การที่โจทก์เพียงแต่ค้างชำระเงินทดรองแก่จำเลยดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอย่างอื่นที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ยืมเงินทดรองจากจำเลยแล้วนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่มีเจตนาจะส่งคืนเงินทดรองดังกล่าวให้แก่จำเลย จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และกรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และการค้างชำระเงินทดรองดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรงดังนั้น การที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ค้างชำระเงินทดรองดังกล่าวไม่เป็นข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนเรื่องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ค้างชำระเงินทดรองแก่จำเลยเป็นเงิน 62,260 บาท อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเรื่องเงินทดรอง จำเลยทวงถามแล้วโจทก์เพิกเฉย จำเลยจึงต้องฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลาง ขอให้บังคับโจทก์คืนเงินทดรองดังกล่าว และแม้ว่าศาลแรงงานกลางจะมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินทดรองดังกล่าวแก่จำเลยตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2539 และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ก็ยังคงเพิกเฉยไม่คืนเงินทดรองดังกล่าวให้แก่จำเลย ทั้ง ๆ ที่จำเลยก็ได้จ่ายเงินค่าเสียหายในระหว่างที่มีคำสั่งพักงานโจทก์ให้แก่โจทก์ไปแล้ว และแม้จำเลยจะมีคำสั่งรับโจทก์กลับเข้าทำงานและมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ในวันเดียวกันก็เป็นเพียงวิธีการที่จำเลยจำต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 5953 - 5954/2539 ของศาลแรงงานกลาง ที่ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานก่อนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และการที่โจทก์ไม่คืนเงินทดรองให้แก่จำเลยดังกล่าวก็เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในเรื่องเงินทดรอง อันเป็นการกระทำที่ไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงมีสิทธิที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ฉะนั้นจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอโจทก์ในส่วนที่ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง