โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนและค่าทำศพนายทองสามีโจทก์ที่ ๑และบิดาโจทก์ที่ ๒ ซึ่งตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในโรงน้ำแข็งของจำเลยตามคำวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๙
จำเลยต่อสู้ปฏิเสธความรับผิด และว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ หากจำเลยจะต้องชำระเงินแก่โจทก์ ก็มีสิทธิหักเงินที่ชำระไปแล้วได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนเดือนละ ๔๖๗.๕๐ บาทมีกำหนด ๖๐ เดือน นับแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๑๐ และค่าทำศพ ๒,๕๕๐ บาทแก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ ๑ แต่งงานกับผู้ตายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสเกิดบุตรหนึ่งคนคือ โจทก์ที่ ๒ ผู้ตายเป็นลูกจ้างจำเลยทำหน้าที่คนเฝ้าเครื่องโรงน้ำแข็งคืนเกิดเหตุ หม้อพักแอมโมเนียเกิดระเบิดขึ้นเป็นเหตุให้ผู้ตายและลูกจ้างอื่นของจำเลยตาย ๑๓ คน โจทก์ที่ ๑ ได้รับเงินจากจำเลย ๓,๕๐๐ บาท ได้ทำเอกสารการรับเงินต่อหน้าปลัดอำเภอความว่า โจทก์ที่ ๑ ได้รับเงินจากจำเลยรวมกับรับไปก่อนแล้วเป็นเงิน๔,๑๐๐ บาท ไม่ติดใจฟ้องร้องเพื่อขอรับเงินทดแทนอีก ต่อมาโจทก์ที่ ๑ ได้รับเงินจากจำเลยอีก ๗๐๐ บาทต่อมาโจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องขอรับเงินค่าทำศพและค่าทดแทนนายอำเภอเมืองตรังในฐานะเจ้าหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยเงินค่าทดแทน วินิจฉัยให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนให้โจทก์ที่ ๑ เป็นรายเดือน และค่าทำศพด้วยจำเลยอุทธรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังในฐานะเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมอบหมายพิจารณาแล้ววินิจฉัยอุทธรณ์ว่า อันตรายที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ ให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนเดือนละ ๔๖๗.๕๐ บาท มีกำหนด ๖๐ เดือน นับแต่วันที่ ๕ เมษายน๒๕๑๐ และให้จ่ายค่าทำศพ ๒,๕๕๐ บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดตรังมีสารสำคัญ ๒ ประการ คือ (๑) จำเลยอ้างว่าไม่ควรต้องรับผิดชอบ เพราะเหตุเกิดระเบิดเนื่องมาจากลูกจ้างเมาสุรา และ (๒) เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิที่จะวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายเงินรายนี้เพราะนางพวง (โจทก์) ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและรับเงินค่าทดแทนไปจากนายจ้างแล้วเป็นเงิน ๔,๑๐๐ บาท สำหรับข้อ (๒) นั้นจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ควรต้องจ่ายเงินค่าทดแทนเพราะได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และระงับข้อพิพาทไปแล้วนั่นเองหรือจะกล่าวอย่างสั้น ๆ คือ จำเลยเถียงว่าไม่ควรต้องจ่าย เพราะมีสัญญาประนีประนอมยอมความระงับไปสิ้นแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดก็จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้จำเลยว่าจำเลยจะต้องจ่ายค่าทดแทนให้โจทก์หรือไม่ และเมื่อจำเลยตั้งประเด็นมาในอุทธรณ์เช่นนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ย่อมต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความรายนี้ใช้ได้หรือไม่ ถ้าเห็นว่าใช้ได้โจทก์ก็เรียกอะไรไม่ได้อีกแล้วจากจำเลย แต่ถ้าเห็นว่าใช้ไม่ได้ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องตามคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ว่าราชการจังหวัดตรังมีสิทธิวินิจฉัยประเด็นในอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยว่า จะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนหรือไม่ต้องจ่ายนั่นเองเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดตรังมีสิทธิวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้แล้ว การที่จำเลยฎีกาว่าผู้ว่าราชการจังหวัดตรังวินิจฉัยนอกเหนืออำนาจและเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงฟังไม่ขึ้น
เมื่อฟังว่าผู้ว่าราชการจังหวัดตรังมีสิทธิวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว ก็มีปัญหาต่อไปว่า การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยไว้คือ(๑) เหตุที่เกิดระเบิดเป็นอุบัติเหตุ มิใช่เพราะลูกจ้างมึนเมาสุรา หรือเนื่องจากเหตุอื่นอันเป็นความผิดของลูกจ้างที่เข้าลักษณะข้อยกเว้นและ (๒) สัญญาประนีประนอมยอมความรายนี้เป็นโมฆะ แต่จำเลยมิได้ขอให้ศาลพิจารณาปัญหาทั้งสองนี้ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันรับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามข้อ ๑๔แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนเช่นนี้ จำเลยจะยกข้อต่อสู้ดังกล่าวในชั้นศาลอีกได้หรือไม่ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อจำเลยไม่พอใจคำวินิจฉัยดังกล่าว จำเลยจะต้องนำคดีมาสู่ศาลภายใน ๓๐ วันตามข้อ ๑๔ แห่งประกาศของกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว การที่จำเลยไม่นำคดีมาสู่ศาลภายใน ๓๐ วัน ต้องถือว่าเรื่องเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่จำเลยจะมาโต้แย้งในชั้นศาลอีกว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ตายกับพวกดื่มสุรามึนเมาละเลยหน้าที่อันเป็นการประมาทและสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับใช้ได้และทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบที่จะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนตามคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่อีกหาได้ไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินค่าทดแทนและค่าทำศพเกิดจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๙ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิทธิพิเศษที่เกิดขึ้นโดยกฎหมายในประกาศกระทรวงมหาดไทยข้อ ๑๔ก็เป็นเรื่องเฉพาะเงินค่าทดแทนเท่านั้น การที่โจทก์ได้รับเงินจากจำเลยไป๔,๑๐๐ บาท ตามใบรับตามเอกสารหมาย ล.๓ จึงเป็นเงินค่าทดแทนตามประกาศคณะปฏิวัตินั่นเอง และผู้ว่าราชการจังหวัดก็มิได้วินิจฉัยว่าจะหักเงินจำนวนนี้ให้จำเลยไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนให้โจทก์เป็นรายเดือน ๆ ละ ๔๖๗.๕๐ บาท มีกำหนด ๖๐ เดือนนับแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๑๐ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ปรากฏว่ายังมิได้หักเงินที่โจทก์รับไปแล้ว ๔,๑๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่าชอบที่จะหักเงิน๔,๑๐๐ บาทที่จำเลยจ่ายไปแล้วให้จำเลยด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้หักเงินที่โจทก์รับจากจำเลยแล้วออก ๔,๑๐๐ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์