โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยนำความเท็จไปหลอกลวงนางเพียร รัตนชื่น ว่าจำเลยมีที่ดินสวนส้มต้องการขายฝาก และนำนางเพียรไปชี้ดูที่ดินซึ่งเป็นของบุคคลอื่นจนนางเพียรหลงเชื่อตกลงทำสัญญาขายฝากจ่ายเงินให้จำเลยไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๙๓ และขอให้คืนหรือใช้เงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ รับในข้อต้องโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ จำคุก ๑ ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา ๙๓ เป็นจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๘๑,๐๐๐บาทที่จำเลยรับไปแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า นางเพียรผู้ร้องทุกข์ไม่ใช่ผู้เสียหาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในสำนวนมาแล้วว่า จำเลยได้หลอกลวงนางเพียรให้หลงเชื่อจนนางเพียรตกลงรับซื้อฝาก โดยจำเลยให้นางอบเชย อนันตวาร พาจำเลยไปติดต่อกับนางเพียรแล้วนางเพียรกับจำเลยได้พากันไปดูสวนส้มที่จำเลยว่าจะขายฝาก นางเพียรจึงได้ถอนเงินของนางเพียรที่ฝากไว้จากธนาคารออมสินมอบให้จำเลยไป นายสวัสดิ์ รัตนชื่น บุตรนางเพียรเพียงแต่ลงชื่อรับซื้อฝากแทนนางเพียรมารดาด้วยเงินของนางเพียรรับซื้อฝากเองครั้นนางเพียรรู้เรื่องว่าจำเลยเอาที่นามาหลอกขายว่าเป็นสวนส้ม จึงได้ไปร้องทุกข์เอง และจำเลยก็รับว่าจะคืนเงินให้กับนางเพียร ดังนี้ เป็นการจงใจเจตนาฉ้อโกงนางเพียรโดยตรง ถือได้ว่านางเพียรได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงแล้วมีอำนาจตามกฎหมายที่จะร้องทุกข์ได้ แม้นายสวัสดิ์จะเป็นผู้ทำนิติกรรมรับซื้อฝาก ก็เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องมาจากการที่จำเลยหลอกลวงนางเพียรนั่นเอง ไม่ทำให้นางเพียรผู้ถูกหลอกลวงพ้นจากการเป็นผู้เสียหาย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนให้ยกฎีกาจำเลย