โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔)
จำเลยให้การว่าได้กระทำผิดจริงแต่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) ลดโทษให้หนึ่งในสาม ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ลงโทษจำคุก ๑๐ ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า วันเกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง นายบุญทา ยาวุฒิ ผู้ตายกับภรรยาไปบ้านมารดาผู้ตายผู้ตายนั่งดื่มสุรากับพวกต่อมาเวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา ผู้ตายซึ่งมีเรื่องโกรธเคืองจำเลยมาก่อนแล้วได้ทะเลาะโต้เถียงกับจำเลยในวงสุราถึงกับท้าชกต่อยกัน แต่พรรคพวกที่ดื่มสุราห้ามไว้ แล้วจำเลยก็แยกไป ต่อมาเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา ผู้ตายบอกนางทัศนีย์ ภรรยาว่า จะกลับบ้าน นางทัศนีย์ให้รอจะกลับด้วย แต่ผู้ตายไม่รอได้เดินออกจากบ้านมารดาไป และถูกจำเลยใช้มีดพกปลายแหลมแทงถึงแก่ความตายข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าว เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายได้ดื่มสุราด้วยกันและมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงกับท้าชกต่อยแต่มีคนเข้ามาห้ามจึงแยกกันไป ดังนั้น สาเหตุแห่งการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายก็เนื่องมาจากการทะเลาะวิวาทกันก่อนเกิดเหตุนั้นเอง จนกระทั่งถึงเวลาเกิดเหตุซึ่งเป็นเวลาห่างกันประมาณ ๑๐ ชั่วโมง นานพอที่จำเลยสามารถตระเตรียมวางแผนฆ่าผู้ตายได้ และจำเลยทราบดีว่าผู้ตายและภรรยาจะต้องกลับบ้านของตน ทั้งจำเลยก็ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนว่าด้วยความโกรธแค้นผู้ตาย จำเลยจึงได้มาดักรอที่ริมถนนเพื่อทำร้ายผู้ตาย การที่จำเลยใช้มีดพกปลายแหลมแทงผู้ตาย ขณะที่ผู้ตายเดินกลับบ้านย่อมเห็นได้ว่าเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๒๘๙ (๔) ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.