โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 175, 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหาฟ้องเท็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 (ที่ถูก มาตรา 175 (เดิม)) จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้เป็นยุติว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 33736 เป็นของนางกอบเกื้อ โจทก์ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินจากนางกอบเกื้อมีกำหนด 18 ปี ต่อมาโจทก์ร่วมลงทุนกับนายสุวรรณ ปลูกสร้างห้องให้เช่า หลังจากนั้นโจทก์ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนางกอบเกื้อแล้วนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคาร เพื่อเป็นประกันหนี้ของโจทก์ ต่อมานายสุวรรณฟ้องโจทก์กล่าวหาว่า โจทก์ยักยอกทรัพย์อาคารและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4108/2548 หมายเลขแดงที่ 3197/2551 ของศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกโจทก์ 3 ปี โจทก์ต้องการจะเจรจากับนายสุวรรณ จึงมอบให้จำเลยไปเจรจากับนายสุวรรณเพื่อยุติคดีที่นายสุวรรณฟ้องโจทก์ฐานยักยอก ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2552 จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นางสาวโชติกา ในราคา 26,000,000 บาท กำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในวันที่ 11 มกราคม 2553 แต่จำเลยนัดโจทก์ไปโอนขายที่ดินในวันที่ 28 ธันวาคม 2552 เมื่อถึงวันนัดโจทก์ไม่ยอมขายที่ดิน ต่อมาวันที่ 5 มกราคม 2553 โจทก์ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างให้แก่บริษัท พ. โดยนางสาวโชติกาซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน ในราคา 16,000,000 บาท หลังจากนั้นวันที่ 8 เมษายน 2553 จำเลยฟ้องโจทก์ บริษัท พ. และนางสาวโชติกา เป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ เป็นคดีอาญาในความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการสำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานนั้นตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1296/2553 หมายเลขคดีแดงที่ 4365/2557 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้มีสิทธิขายเฉพาะที่ดินเท่านั้น พยานหลักฐานโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามซึ่งรวมโจทก์ในคดีนี้ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 และศาลฎีกาพิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ไม่ใช้ผู้เสียหายโดยตรง ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งสาม ซึ่งรวมโจทก์คดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดฐานฟ้องเท็จตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า เมื่อขณะที่จำเลยได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้เป็นผู้ไปเจรจากับนายสุวรรณเพื่อยุติคดีเรื่องยักยอกนั้น จำเลยทราบแล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินเท่านั้น ส่วนสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในที่ดินของโจทก์เป็นกรรมสิทธิ์ของนายสุวรรณ การที่จำเลยในคดีนี้ไปฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1296/2553 หมายเลขคดีแดงที่ 4365/2555 ของศาลชั้นต้น ว่าโจทก์แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินว่าโจทก์ขายที่ดินในราคา 16,000,000 บาท ซึ่งความจริงโจทก์ขายที่ดินในราคา 26,000,000 บาท อันเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการสำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานนั้น เป็นการเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา แม้คดีดังกล่าว ถึงที่สุดโดยศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ก็ตาม แต่ความผิดตามมาตรา 175 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มุ่งหมายเพียงว่าเอาความอันเป็นเท็จฟ้องกล่าวหาผู้อื่นในทางอาญาเท่านั้นก็เป็นความผิดแล้ว มิได้บัญญัติว่าเป็นความเท็จที่จะทำให้มีความผิดทางอาญา ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้แกล้งกล่าวหากันในทางอาญาอันจะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกฟ้องได้รับความเดือดร้อน ที่จำเลยนำสืบว่า พฤติการณ์ของโจทก์กับพวกทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่ามีการซื้อขายอาคารสิ่งปลูกสร้างกันจริงแยกจากส่วนที่ดิน โดยจำเลยไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์นั้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ จำเลยมีความผิดฐานฟ้องเท็จตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น