โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ เวลากลางวัน จำเลยใช้ปืนลูกซองยาวยิงโดยเจตนาฆ่านายตุ๋ย ลายปรีชา ๑ นัด ถูกบริเวณสันหลังนายตุ๋ยถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลลาดยาว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และสั่งริบปืนและปลอกกระสุนปืนของกลางที่ใช้กระทำผิด
จำเลยให้การต่อสู้ว่ายิงเพื่อป้องกันตัวไม่มีเจตนาฆ่า
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๖๙ จำคุก ๙ ปี ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๖ ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กระทำพอสมควรแก่เหตุ พิพากษากลับยกฟ้องคืนปืนและปลอกกระสุนของกลางให้จำเลย
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยกระทำเกินสมควรแก่เหตุและเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนมีว่า วันเกิดเหตุนายจ๊อด มลิวรรณ กับพวกชวนจำเลยไปติดตามคนร้ายลักเหล้า พบผู้ตายกับนายแจ้ว จันทร์สิงห์โต นั่งกินเหล้าของนายจ๊อด มลิวรรณอยู่ ผู้ตายลุกหนีโดยก้าวถอยหลังแล้วควักปืนออกมายิงจำเลยกับพวก ๑ นัด ยิงแล้วผู้ตายหันหลังวิ่ง ขณะวิ่งก็หักลำกล้องปืนและเอามือล้วงกระเป๋าจำเลยจึงยิงผู้ตาย ๑ นัด และต่อมาค้นพบกระสุนปืนในกระเป๋ากางเกงของผู้ตายอีก ๔ ลูก
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยยิงผู้ตายขณะผู้ตายกำลังวิ่งหันหลังให้จำเลย กระสุนปืนถูกผู้ตายด้านหลังทั้งสิ้น แม้ขณะผู้ตายวิ่งไปได้ราว ๓ วาเศษ ผู้ตายจะหักลำกล้องปืนและเอามือล้วงกระเป๋าซึ่งปรากฏในภายหลังว่า ค้นพบกระสุนปืนอยู่ในกระเป๋ากางเกงผู้ตาย ๔ ลูก แต่ผู้ตายก็มิได้แสดงกิริยาว่าจะหันกลับมาต่อสู้ และตามคำนายจิตรมลิวรรณ พยานโจทก์ก็ว่าผู้ตายยังไม่ทันชักมือออกจากกระเป๋ายังคงวิ่งต่อไป พอห่างจำเลยประมาณ ๑๖ - ๑๗ วา จำเลยก็ใช้ปืนยิงผู้ตายด้านหลังดังกล่าว เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัว คำพิพากษาฎีกาที่ศาลอุทธรณ์อ้างข้อเท็จจริงต่างกับคดีนี้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น