โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 40,000 บาท คืนจากจำเลย โดยมอบอำนาจให้นายอำนาจ ลือขจร ดำเนินคดีแก่จำเลยแทนตามหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีก่อนถึงวันที่ตามหนังสือมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้วบางส่วน คงค้างชำระอยู่เพียง 5,534.66 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ โดยให้หักหนี้ที่จำเลยชำระแล้วจำนวน 2,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความตามคำฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม 2531 ท้ายฟ้อง นายอำนาจยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2531 ต่อมาก่อนวันชี้สองสถานโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นว่าเสมียนทนายพิมพ์ พ.ศ. เกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็น พ.ศ. 2531 ผิดไป ขอแก้เป็น พ.ศ. 2530 ตามที่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต จึงเป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันตามคำฟ้องว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้ตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้อง เพียงแต่ระบุ พ.ศ. ในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวผิดไป ประเด็นแห่งคดีจึงเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจฉบับดังกล่าวเท่านั้น แต่ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบนายอำนาจเป็นพยานเพียงปากเดียวว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้พยานฟ้องคดีนี้ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งหาใช่ต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้องไม่โดยอ้างว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้พยานฟ้องจำเลยจำนวน2 คดี และทำหนังสือมอบอำนาจจำนวน 2 ฉบับ ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.6 และหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทน เอกสารหมายจ.7 ซึ่งเป็นต้นฉบับของภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้อง พยานได้ฟ้องจำเลยทั้ง 2 คดีในวันเดียวกัน คือคดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 55/2531 หมายเลขแดงที่ 62/2531 ของศาลชั้นต้น แต่โจทก์ได้ส่งภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวไว้ท้ายฟ้อง ในสำนวนทั้ง 2 คดีสลับกัน โดยส่งภาพถ่ายของเอกสารหมาย จ.7 ไว้ในสำนวนคดีนี้และส่งภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.6ไว้ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 62/2531 จึงเป็นการนำสืบว่าภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้องหรือเอกสารหมาย จ.7 ไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้ให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้ สำหรับเอกสารหมาย จ.6 ที่โจทก์นำสืบว่าเป็นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนั้น มิได้มีการส่งสำเนาล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 จำเลยได้แถลงคัดค้านไว้แล้ว ส่วนภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องมิใช่สำเนาของเอกสารหมาย จ.6 แต่เป็นสำเนาของเอกสารหมาย จ.7 ดังนั้นจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 ส่วนต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจหมาย จ.7 นั้น แม้จะมีการส่งสำเนาตามเอกสารท้ายฟ้อง แต่โจทก์ก็นำสืบว่ามิใช่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงไม่มีพยานเอกสารมาแสดงให้เห็นถึงการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ ทั้งคำเบิกความของนายอำนาจก็เป็นพยานบุคคลจะนำมาสืบให้ศาลรับฟังแทนเอกสารมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ก)ประกอบมาตรา 60 วรรคสอง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้ นายอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์
พิพากษายืน