โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ , ๒๘๙ , ๘๐ , ๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๓๙ , ๑๕๔ และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาคดีก่อน
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง , ๒๘๙ (๒) , ๘๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๓๙ (๑) , ๑๕๔ (๒) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย และฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย และฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานเดินรถบรรทุกสิบล้อในเวลาห้าม ปรับ ๕๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ , ๓๐ นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาคดีก่อน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชันนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อลากจูงรถพ่วงคันเกิดเหตุไปตามถนนรัชดาภิเษกผ่านสี่แยกวงศ์สว่าง ข้ามสะพานพระราม ๗ ไปยังถนนจรัญสนิทวงศ์ อันเป็นการเดินรถบรรทุกสิบล้อมีรถพ่วงท้ายในเวลาห้าม ซึ่งฝ่าฝืนข้อบังคับของเจ้าพนักงานจราจรเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๓๙ (๑) , ๑๕๔ (๒) ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่นติดตามจับกุมจำเลยได้ คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานขณะกระทำการตามหน้าที่หรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ โจทก์บรรยายฟ้องระบุการกระทำของจำเลยว่า จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อพร้อมรถพ่วงด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชนผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า เหตุเกิดที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร แต่โจทก์นำสืบถึงการกระทำของจำเลยเป็น ๓ ตอน ตอนที่ ๑ คือ จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อพร้อมรถพ่วงพุ่งเข้าชนผู้เสียหาย เหตุเกิดที่เชิงสะพานพระราม ๗ ถนนวงศ์สว่าง ตอนที่ ๒ คือจำเลยขับรถคันดังกล่าวแล่นไปตามถนนจรัญสนิทวงศ์ ขณะที่ผู้เสียหายยืนเกาะอยู่ที่ประตูรถในลักษณะที่อาจทำให้ผู้เสียหายตกจากรถได้ และตอนที่ ๓ คือจำเลยขับรถคันดังกล่าวพุ่งเข้าชนผู้เสียหายที่ถนนจรัญสนิทวงศ์บริเวณหน้าร้านฮั่วหลีเฟอร์นิเจอร์ ดังนี้ การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบในตอนที่ ๒ และตอนที่ ๓ ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคหนึ่งและวรรคสี่ การที่ศาลล่างทั้งสองนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาคงรับวินิจฉัยให้เฉพาะการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบในตอนที่ ๑ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องเท่านั้น
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกา หลังชั่วโมงเร่งด่วนที่มีการจราจรคับคั่งเพียงเล็กน้อย เชื่อได้ว่าขณะเกิดเหตุยังมีรถยนต์และรถจักรยานยนต์แล่นอยู่ในถนนวงศ์สว่างค่อนข้างมาก อีกทั้งรถที่จำเลยขับเป็นรถบรรทุกสิบล้อซึ่งมีรถพ่วงมาอีกคันหนึ่งด้วย การเคลื่อนที่และเร่งความเร็วของรถที่จำเลยขับย่อมกระทำได้ช้า เมื่อพิจารณาถึงสภาพการจราจรที่เพิ่งจะคลายความคับคั่งลงด้วยแล้ว น่าสงสัยว่าจำเลยจะขับรถด้วยความเร็วถึง ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้หรือไม่ ยิ่งกว่านั้น หากจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อพร้อมรถพ่วงด้วยความเร็วดังกล่าว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๗ วรรคหนึ่ง , ๑๕๒ แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายหรือสิบตำรวจโท ว. ได้แจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อพร้อมรถพ่วงด้วยความเร็ว ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงดังที่ผู้เสียหายและสิบตำรวจโท ว. เบิกความ เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของรถบรรทุกสิบล้อพร้อมรถพ่วงที่คันใหญ่ มีความอุ้ยอ้ายประกอบด้วยแล้ว เชื่อว่าจำเลยขับรถไปโดยไม่สนใจที่จะจอดรถตามที่ผู้เสียหายโบกมือ ทำให้ดูคล้ายกับว่าจำเลยขับรถเข้าไปหาผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายต้องหลบเพราะเกรงจะถูกรถบรรทุกสิบล้อที่จำเลยขับเฉี่ยวชนเอา หากจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อพุ่งเข้าชนผู้เสียหายจริง ผู้เสียหายก็น่าจะแจ้งข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ไว้ตั้งแต่เมื่อจับกุมจำเลยได้ มิใช่เขียนเล่าข้อเท็จจริงไว้ลอย ๆ ตามที่ปรากฏในบันทึกการจับกุมเท่านั้น ผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจย่อมทราบดีว่าการที่จำเลยขับรถบรรทุกขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาตัวผู้เสียหายนั้นเป็นการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่แล้ว แต่ผู้เสียหายกลับมิได้แจ้งข้อหาดังกล่าวแก่จำเลยตั้งแต่ชั้นจับกุม จึงเป็นการไม่สมเหตุผล ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อในลักษณะที่จะพุ่งเข้าชนผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม การที่จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อตรงไปในขณะที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานยืนโบกมืออยู่บนถนนเพื่อเรียกให้จำเลยรถนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ารถอาจเฉี่ยวชนผู้เสียหายให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ความผิดฐานนี้รวมอยู่ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ด้วย จึงลงโทษจำเลยฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามที่พิจารณาได้ความได้ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคท้าย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง , ๒๙๖ ประกอบมาตรา ๘๐ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๒ ปี เมื่อรวมกับโทษฐานเดินรถบรรทุกสิบล้อในเวลาห้ามแล้ว คงจำคุก ๒ ปี และปรับ ๕๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.