คดีนี้เนื่องมาจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาได้นำยึดที่ดินและเรือนเพื่อเอามาขายทอดตลาด
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินและเรือนที่ยึดเป็นของส่วนตัวผู้ร้องคนเดียว ขอให้ศาลสั่งถอนการยึด
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์พิพาทได้มาระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยากัน โจทก์ยึดขายชำระหนี้ได้ จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างทั้งสองฟังต้องกันมาว่า ทรัพย์พิพาทเป็นทรัพย์ที่ได้มาระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้นชอบด้วยทางพิจารณาแล้ว เมื่อฟังว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์ที่จำเลยและผู้ร้องได้มาระหว่างเป็นสามีภริยากัน เป็นสินบริคณห์ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วยโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยมีสิทธิยึดทรัพย์ทั้งหมดได้ ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกเสียก่อน
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความรับรองฐานะภริยาและทรัพย์สินว่าเป็นของผู้ร้องแต่คนเดียว สัญญานี้ชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่ใช้กลฉ้อฉลนั้น เห็นว่า จำเลยถูกกล่าวหาว่าสมคบกับพวกทำการยักยอกทรัพย์ จะต้องใช้ทรัพย์ที่ยักยอกให้แก่ราชการทหาร จำเลยให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2500 ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2500 จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนในข้อหาความผิดอาญาฐานยักยอก ทั้งสองคราวนี้ จำเลยให้การยอมให้ทางราชการคือโจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยซึ่งมีทรัพย์พิพาทรวมอยู่ด้วยเพื่อใช้หนี้รายที่จำเลยต้องหาว่ายักยอก ต่อมาวันที่ 3 พฤศจิกายน 2500 จำเลยและผู้ร้องก็ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน มีใจความสำคัญว่าผู้ร้องไม่ใช่ภริยาจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องจัดหาและมีขึ้นด้วยทรัพย์สินอันเป็นส่วนตัวของผู้ร้อง สัญญานี้ได้ทำขึ้นหลังจากจำเลยยอมรับใช้หนี้ให้โจทก์ไม่ถึง 3 เดือน เห็นได้ชัดว่า เพื่อสมยอมกันจะป้องกันมิให้ทรัพย์พิพาทถูกยึดมาใช้หนี้โจทก์ ไม่มีผลผูกพันโจทก์ ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน