โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 46, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ลงโทษปรับ 800 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้ขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-0294 สตูล แซงรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-3222นครศรีธรรมราช ซึ่งมีนายคนอง อุตมะมุณีย์ เป็นคนขับ รถยนต์โดยสารแล่นเข้าทางด้านซ้ายมือตามปกติแล้ว จำเลยได้ห้ามล้อ รถยนต์บรรทุกจึงแล่นชนท้ายรถยนต์โดยสาร โดยจุดชนอยู่ห่างเชิงสะพานประมาณ 5 เมตรตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.1
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้ขับรถยนต์โดยสารโดยประมาทหรือไม่ โจทก์มีนายคนอง อุตมะมุณีย์ และนางชบา อุตมะมุณีย์ ซึ่งโดยสารมากับรถยนต์บรรทุก มาเบิกความว่า เมื่อจำเลยขับรถยนต์โดยสารแซงรถยนต์บรรทุกขึ้นหน้าไปนั้น ขณะนั้นยังเหลือทางอีกประมาณ 30 เมตรก็จะถึงคอสะพาน จำเลยขอทางเข้าทางด้านซ้ายมือ นายคนองก็ให้ทางเมื่อจำเลยขับรถเข้าทางด้านซ้ายมือแล้ว ปรากฏว่าบนสะพานมีรถเข็นอยู่คันหนึ่ง แล่นไปในทิศทางเดียวกัน และมีรถยนต์อีกคันหนึ่งกำลังแล่นสวนทางมา จำเลยได้ห้ามล้อรถยนต์โดยสารอย่างกะทันหัน นายคนองหยุดรถยนต์บรรทุกไม่ทัน เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกชนท้ายรถยนต์โดยสารคันที่จำเลยขับ ทำให้รถยนต์ทั้งสองคันได้รับความเสียหาย พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวแล้ว เห็นว่า พยานทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องกันและมีเหตุผลน่าเชื่อว่า พยานทั้งสองเบิกความตามความจริง พฤติการณ์ที่จำเลยขับรถยนต์โดยสารแซงรถยนต์บรรทุกซึ่งแล่นเกือบจะถึงเชิงสะพาน เมื่อแซงพ้นแล้ว และขณะที่รถยนต์โดยสารเพิ่งแล่นเข้าทางด้านซ้ายมือตามปกติ ยังแล่นนำหน้ารถยนต์บรรทุกเพียงเล็กน้อย จำเลยก็ห้ามล้อรถยนต์โดยสารอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกที่นายคนองขับซึ่งแล่นตามหลังหยุดรถไม่ทัน พุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์โดยสารที่จำเลยขับทันที แสดงว่าจำเลยเป็นฝ่ายขับรถประมาทดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.