โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอบังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันชำระเงินค่าภาษีอากร 77,485.25 บาท และเงินเพิ่มอากรขาเข้าอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนในต้นเงินอากรขาเข้า15,262.50 บาท เป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองมิได้ร่วมกันยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 แต่ได้ยื่นโดยถูกต้องตามความจริงฟ้องโจทก์เกิน 10 ปี จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าอากรขาเข้าและเงินเพิ่มอากรขาเข้ารวม 42,581.48 บาท และเงินเพิ่มอากรขาเข้าอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนในต้นเงินอากรขาเข้า 15,262.50 บาท เป็นรายเดือนนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของคู่ความทั้งสองฝ่ายมีว่า ฟ้องโจทก์ทั้งในส่วนค่าอากรขาเข้า ค่าภาษีการค้าและค่าภาษีบำรุงเทศบาลขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า สำหรับเงินค่าอากรขาเข้าหรือภาษีศุลกากรนั้นตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคแรกบัญญัติว่า "บรรดาค่าภาษีนั้น ให้เก็บตามบทพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร การเสียค่าภาษีให้เสียแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในเวลาที่ออกใบขนสินค้าให้" และมาตรา 41 บัญญัติว่า "ถ้ามีความจำเป็นด้วยประการใด ๆเกี่ยวด้วยการศุลกากรที่จะกำหนดเวลาเป็นแน่นอนว่า การนำของใด ๆ เข้ามาจะพึงถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อไรไซร้ ท่านให้ถือว่าการนำของเข้ามาเป็นอันสำเร็จแต่ขณะที่เรือซึ่งนำของเช่นนั้นได้เข้ามาในเขตท่าที่จะถ่ายของจากเรือหรือท่าที่มีชื่อส่งของถึง" ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้นำเครื่องรับวิทยุจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรในเขตท่าเรือกรุงเทพเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน2518 ซึ่งอายุความในการเรียกค่าภาษีอากรนั้น พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม บัญญัติว่า"เว้นแต่ในกรณีที่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรสิทธิของกรมศุลกากรที่จะเรียกเงินอากรที่ขาดเพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิด คุณภาพ ปริมาณ น้ำหนัก หรือราคาแห่งของใด ๆ หรือเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ นั้น ให้มีอายุความสิบปี แต่ในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิด ให้มีอายุความสองปี ทั้งนี้นับจากวันที่นำของเข้าหรือส่งของออก" ซึ่งเป็นบทบัญญัติเรื่องอายุความเฉพาะกรณีที่กรมศุลกากรเรียกเงินอากรขาดเพราะเหตุดังกล่าวโดยมีอายุความสิบปีหรือสองปีนับจากวันที่นำของเข้าหรือส่งของออก แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเจตนาหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรซึ่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไปที่เกี่ยวกับการเรียกเอาค่าภาษีอากรตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 167 เดิม(มาตรา 193/31 ที่แก้ไขใหม่) ที่บัญญัติว่า "สิทธิเรียกร้องของรัฐบาลเพื่อเอาค่าภาษีอากร ท่านให้มีกำหนดอายุความสิบปี..." และการนับอายุความก็ต้องให้นับเริ่มแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 เดิม (มาตรา 193/12 ที่แก้ไขใหม่)ซึ่งหนี้ค่าภาษีอากรขาเข้าในส่วนที่ขาดนี้เป็นสิทธิเรียกร้องที่อาจบังคับได้ในวันที่โจทก์ที่ 1 ตรวจพบการหลีกเลี่ยงภาษีอากรกรณีนี้ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ที่ 1 ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1ได้ตรวจพบการหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรของจำเลยวันใด คงมีเพียงว่าจำเลยสำแดงราคาสินค้าเท็จหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรโจทก์ที่ 1ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาต่อจำเลย และศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำเลยเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2524 โจทก์ที่ 1 ได้แจ้งให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2532เท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาสำเนาคำพิพากษาของศาลอาญาตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 3 ถึง 13 ที่ พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ปรากฏตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ในคดีดังกล่าวว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ได้ตรวจพบว่าจำเลยหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2518 ซึ่งเมื่อนับถึงวันที่โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 จึงเกินกำหนดสิบปีแล้ว คดีของโจทก์ที่ 1 ส่วนนี้จึงขาดอายุความคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
ส่วนค่าภาษีการค้าและค่าภาษีบำรุงเทศบาลซึ่งถือเป็นภาษีการค้าด้วยนั้นประมวลรัษฎากรมิได้บัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 167 เดิม (มาตรา 193/31 ที่แก้ไขใหม่) มาตรา 169 เดิม(มาตรา 193/12 ที่แก้ไขใหม่) คือ มีอายุความสิบปีนับเริ่มแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 เบญจ (1) และประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีการค้า (ฉบับที่ 7) ออกตามความในมาตรา 78 เอกทศและมาตรา 78 ทวาทศ กำหนดให้ผู้นำของเข้าชำระภาษีการค้าในวันที่ชำระอากรขาเข้าหรือวางหลักประกันหรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันเงินอากรขาเข้า ซึ่งก็คือวันที่ 24 ธันวาคม 2518 อันเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าภาษีอากรตามที่สำแดงไว้และวางเงินเพื่อประกันค่าภาษีอากร แล้วพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1ได้ตรวจปล่อยสินค้าให้จำเลยทั้งสองไป อายุความของค่าภาษีการค้านี้จึงมีกำหนดสิบปี โดยต้องเริ่มนับแต่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2518อันเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2533เกินกำหนดเวลาสิบปี คดีจึงขาดอายุความ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรขาเข้าและศาลอาญาพิพากษาลงโทษเมื่อวันที่ 9ธันวาคม 2524 คดีถึงที่สุดโดยจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การฟ้องเรียกค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลมีอายุความสิบปี นับแต่คดีอาญาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 เดิม (มาตรา 193/32ที่แก้ไขใหม่) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51คดีไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า ค่าภาษีการค้านั้นตามประมวลรัษฎากรมาตรา 78 จัตวา, 78 เบญจ (1) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 20) ถือว่าผู้นำของเข้าได้ขายสินค้านั้น ๆในวันที่ชำระอากรขาเข้าหรือวางหลักประกันหรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันเงินอากรขาเข้าจึงเป็นอันก่อให้เกิดหนี้และจะต้องชำระค่าภาษีการค้าในวันเดียวกันดังวินิจฉัยข้างต้น แต่การหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรโดยเฉพาะในคดีนี้จำเลยทั้งสองได้สำแดงราคาสินค้าเท็จ ในวันที่ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ออกใบขนสินค้าจำเลยทั้งสองจะต้องกระทำโดยมีเจตนาฉ้อค่าภาษีของรัฐจึงจะเป็นความผิดทางอาญา การกระทำผิดในทางอาญานี้หาได้ก่อให้เกิดหนี้ค่าภาษีอากรในทางแพ่งในขณะเดียวกับการกระทำผิดในทางอาญาโดยตรงไม่แต่หนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวเกิดเพราะการนำเข้าสำเร็จและกฎหมายให้ถือว่าได้ขายสินค้านั้น ๆ ดังกล่าวข้างต้น คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างหนี้ค่าภาษีการค้าและค่าภาษีบำรุงเทศบาลจึงมีอายุความสิบปีนับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2518 หาใช่มีอายุความสิบปีนับแต่เมื่อคดีอาญาถึงที่สุดดังที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง