โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินหมายเลข ๑, ๔ ในแผนที่พิพาทคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๙/๒๕๒๗ ดังกล่าวเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยแบ่งแยก น.ส.๓ เลขที่ ๔๕๓, ๔๕๔ สำหรับส่วนที่เป็นของโจทก์คืนให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นส่วนของ อ. เนื้อที่ ๕ ไร่เศษ อ. ป่วยและได้เคยกู้เงินจำเลยไปแล้วมอบที่ดินดังกล่าวให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยโดยมีข้อตกลงว่าหาก อ. ตายโดยไม่ได้ชำระเงินไถ่ที่ดินคืน ให้ที่ดินตกเป็นของจำเลย อ. ตายโดยไม่ได้ชำระหนี้ที่ดินตกเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญากู้เป็นโมฆะ ถือว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทไว้แทน นายอ่อนสาบิดาโจทก์ และโจทก์ผู้เป็นทายาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนที่พิพาทเฉพาะส่วนให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยเบื้องแรกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับที่พิพาทที่ทำกันไว้ระหว่างนายอ่อนสาบิดาโจทก์กับจำเลยดังกล่าวมีผลผูกพันบังคับได้เพียงใดหรือไม่ในปัญหานี้ปรากฏตามข้อตกลงในเอกสารดังกล่าวข้อ ๔ และข้อ ๕ ดังนี้
ฯลฯ
๔. ที่ดินรายนี้ถ้าข้าพเจ้าไม่ตายมีชีวิตอยู่จะนำเงินจำนวน ๓,๐๐๐ บาท (ซึ่งระบุไว้ข้างต้นว่าเป็นเงินค่าที่นำมาจำนองไว้) มาชำระเอาที่ดินคืน
๕. ถ้าข้าพเจ้าตายและไม่มีชีวิต ที่ดินรายจำนองนี้ข้าพเจ้าขอมอบให้นายเขียน ศรีเล็ก พี่เขยถือเป็นกรรมสิทธิ์ต่อไป
ฯลฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.๑ อันเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินข้างต้นบ่งแสดงเจตนาของนายอ่อนสา ศรีเนตร ผู้ทำหลักฐานดังกล่าวให้ไว้แก่จำเลยเป็น ๒ กรณี กล่าวคือ ในกรณีที่นายอ่อนสาสามารถนำเงินจำนวน ๓,๐๐๐ บาท มาชำระคืนแก่จำเลยได้ในระหว่างที่ยังมีชิวิตอยู่ ก็จะขอให้จำเลยส่งคืนที่พิพาทที่ได้มอบให้ครอบครองแทนในระหว่างที่ยังเป็นหนี้กรณีหนึ่ง แต่ถ้านายอ่อนสาถึงแก่ความตายโดยยังมิได้ชำระหนี้และรับมอบที่พิพาทคืนตามสัญญาข้อ ๔ ก็ให้ที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ อีกกรณีหนึ่ง ซึ่งกรณีหลังนี้เป็นเรื่องนายอ่อนสาได้ทำหนังสือเจตนาสละสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อนายอ่อนสาตายแล้ว ให้ที่พิพาทเป็นสิทธิแก่จำเลยเจ้าหนี้แทนการชำระหนี้ เมื่อจำเลยยินยอมตามนี้โดยได้ครอบครองเพื่อตนตั้งแต่นายอ่อนสาตายก็เป็นสิทธิที่คู่กรณีกระทำได้โดยชอบ ไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรคสอง และวรรคสุดท้าย ดังนั้น การครอบครองที่ดินของนายอ่อนสาจึงเป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อนายอ่อนสาตาย นับแต่นั้นมาจำเลยหาได้ครอบครองที่พิพาทแทนนายอ่อนสาหรือโจทก์ผู้เป็นทายาทนายอ่อนสาไม่ จำเลยจึงไม่ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ ไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการครอบครองไปยังโจทก์ จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเอาที่พิพาทคืนได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.