คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 14พฤศจิกายน 2539 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2540 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 25สิงหาคม 2540 ขณะนี้ยังไม่พ้นจากภาวะล้มละลาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536ถึงวันที่ 19 กันยายน 2539 (ที่ถูกวันที่ 19 กรกฎาคม 2539) จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำนวน 179,927.04บาท และเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2539 จำนวน 10,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้าน อันเป็นการชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา 3 ปี และ 3 เดือนตามลำดับ ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 และมาตรา 115 ตามลำดับและให้ผู้คัดค้านส่งมอบเงินจำนวน 189,927.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้จนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ที่จำเลยและนางฮั้ว แจ่มแจ้ง ร่วมกันชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านตามคำพิพากษาตามยอม ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ของจำเลยแก่ผู้คัดค้านระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 ถึงวันที่ 23กันยายน 2539 จำนวน 189,927.04 บาท ให้ผู้คัดค้านส่งมอบเงินจำนวน 189,927.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับนางฮั้ว แจ่มแจ้ง เป็นหนี้ผู้คัดค้านตามสัญญากู้ยืมเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี ค้ำประกัน และจำนองผู้คัดค้านฟ้องจำเลยกับนางฮั้วเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2536 ให้จำเลยกับนางฮั้วร่วมกันชำระเงินจำนวน 445,661.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 445,174.71 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้ชำระงวดแรก 100,000 บาท ในกำหนด 1 เดือนส่วนที่เหลือชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 5 เดือน นับแต่ชำระงวดแรกระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2539จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ผู้คัดค้านรวม 17 ครั้งเป็นเงิน 179,927.04 บาท และชำระเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2539อีก 10,000 บาท การชำระหนี้ดังกล่าว เป็นการชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา 3 ปี และ 3 เดือน ก่อนมีการฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายในคดีนี้มีเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ 2 ราย คือ โจทก์และผู้คัดค้านไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาผู้คัดค้านว่าผู้ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่ประการแรกเกี่ยวกับการรับชำระหนี้ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 รวม 17 ครั้ง เป็นเงิน 179,927.04 บาทเป็นการรับชำระหนี้โดยมีค่าตอบแทนหรือไม่ เห็นว่า การที่ลูกหนี้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ผู้คัดค้าน แม้จะเป็นการชำระหนี้เพื่อให้หนี้ระงับก็ตาม แต่ก็เป็นการชำระหนี้ที่สืบเนื่องจากการที่ผู้คัดค้านให้จำเลยกู้เงินและกู้เบิกเงินเกินบัญชี จึงเป็นการที่จำเลยได้รับประโยชน์จากการนำเงินที่รับอนุมัติให้กู้จากผู้คัดค้านไปใช้ธุรกิจของจำเลย การชำระหนี้ของจำเลยไม่ใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาหรือให้เปล่า ๆ ย่อมถือได้ว่าการชำระหนี้ของจำเลยเป็นการชำระหนี้โดยมีค่าตอบแทน ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าเป็นการชำระหนี้โดยไม่มีค่าตอบแทน จึงให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114(เดิม) นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
ส่วนที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า การชำระหนี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน2539 จำนวน 10,000 บาท ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน การชำระหนี้ดังกล่าวหาได้เป็นการเลือกปฏิบัติโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นแต่อย่างใดนั้นเป็นข้อที่ผู้คัดค้านเพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์โต้แย้งไว้จึงยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2จะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนเฉพาะการชำระหนี้เมื่อวันที่ 23กันยายน 2539 จำนวน 10,000 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 115 ให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่ผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนจนกว่าจะชำระเสร็จ