โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ตามทะเบียนเลขที่ 158366 ดีกว่าจำเลย และให้จำเลยเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่าขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ดีกว่าจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ที่ได้รับการจดทะเบียนไว้กับสินค้าจำพวกที่ 38 เดิม ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ได้แก่ เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต เสื้อกีฬา กางเกงขาสั้น และกางเกงกีฬา ตามคำขอเลขที่ 219251 ทะเบียนเลขที่ 158366 ดีกว่าจำเลยผู้ได้รับการจดทะเบียนหรือไม่ โจทก์มีนางสาวแคธรีน หลุยส์ แคนนอน ผู้จัดการฝ่ายเครื่องหมายการค้าบริษัทโจทก์มาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงว่า คำว่า "HACKETT" เป็นชื่อสกุลของนายเจรีมี แฮกเก็ต ซึ่งเป็นประธานบริษัทและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโจทก์ โจทก์นำเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ออกใช้ครั้งแรกกับสินค้าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชายที่มีความหรูหราเมื่อปี 2526 ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาโจทก์ได้นำเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ไปใช้กับสินค้าอื่น ๆ อีกหลายรายการ เช่น เครื่องแต่งกายสำหรับเล่นกีฬาและพักผ่อน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าต่าง ๆ เครื่องเขียน นาฬิกา เป็นต้น โจทก์ได้ขยายธุรกิจของโจทก์ไปยังประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นต้น และลูกค้ายังสามารถสั่งซื้อสินค้าของโจทก์โดยตรงจากเว็บไซต์ของโจทก์หรือทางไปรษณีย์ โจทก์นำเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ออกใช้และโฆษณาอย่างต่อเนื่องและแพร่หลายในนิตยสารและหนังสือพิมพ์หลายฉบับซึ่งวางจำหน่ายทั่วโลก ข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวมีเหตุผลและน้ำหนักให้เชื่อว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ที่ใช้กับสินค้าเสื้อผ้าที่แท้จริงเพราะคำว่า "HACKETT" เป็นชื่อของประธานบริษัทโจทก์เอง นอกจากโจทก์จะใช้คำว่า "HACKETT" เป็นเครื่องหมายการค้ากับสินค้าเสื้อผ้าที่โจทก์ผลิตออกจำหน่ายแล้ว โจทก์ยังใช้คำว่า "HACKETT" เป็นชื่อบริษัทโจทก์ด้วย ส่วนจำเลยคงมีตัวจำเลยมาเบิกความลอย ๆ ว่า ในปี 2534 จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในคราวเดียวกับจำนวน 7 เครื่องหมาย รวมทั้งเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" และคำว่า "UZEM" กับสินค้าจำพวกที่ 38 เดิม ที่จำเลยใช้คำว่า "HACKETT" เป็นเครื่องหมายการค้าเพราะเป็นคำที่สั้นและจำง่ายโดยทีมออกแบบสินค้าเสื้อผ้าของจำเลยเสนอมา ไม่ปรากฏว่าจำเลยคิดคำว่า "HACKETT" ขึ้นมาเองหรือทีมงานออกแบบสินค้าเสื้อผ้าของจำเลยได้คำนี้มาอย่างไร จึงไม่มีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้นำคำว่า "HACKETT" มายื่นขอจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าโดยสุจริตและโดยบังเอิญไปเหมือนกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ของโจทก์ที่ใช้กับสินค้าเสื้อผ้าเช่นเดียวกับสินค้าเสื้อผ้าของจำเลย ประกอบกับในข้อนี้จำเลยตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าจำเลยประกอบธุรกิจโรงงานผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้ามานาน 20 ปี จำเลยเคยไปต่างประเทศแถบทวีปเอเชียและออสเตรเลีย นามบัตรของจำเลยมีคำว่า "HACKETT" และคำว่า "LONDON" ซึ่งทีมออกแบบสินค้าเสื้อผ้าของจำเลยทำมาให้ เสื้อยืดของจำเลยมีธงชาติอังกฤษอยู่ด้วย ซึ่งทีมออกแบบสินค้าเสื้อผ้าของจำเลยทำมาให้เช่นกัน จึงมีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้ามีโอกาสได้สำรวจตลาดค้าขายเสื้อผ้าในต่างประเทศและได้พบเห็นสินค้าเสื้อผ้าภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศอังกฤษแล้วนำคำว่า "HACKETT" มายื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าเสื้อผ้าของจำเลย และได้ใช้คำว่า "HACKETT" กับธงชาติอังกฤษมาติดกับสินค้าเสื้อยืดที่จำเลยผลิตออกจำหน่าย ดังนี้ การยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" เลขที่ 219251 ของจำเลยจึงเป็นการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยไม่สุจริต เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" โดยใช้กับสินค้าเสื้อผ้ามาตั้งแต่ปี 2526 ก่อนที่จำเลยจะขอจดทะเบียนโดยไม่สุจริตและได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" กับสินค้าเสื้อผ้า ตามคำขอเลขที่ 219251 ทะเบียนเลขที่ 158366 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2534 นานถึง 8 ปี แม้โจทก์จะยังไม่ได้ส่งสินค้าเสื้อผ้าภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ของโจทก์มาจำหน่ายในประเทศไทยก่อนที่จำเลยจะยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวก็ตาม โจทก์ก็มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ที่ได้รับการจดทะเบียนไว้กับสินค้าจำพวกที่ 38 เดิม ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ได้แก่ เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต เสื้อกีฬา กางเกงขาสั้น และกางเกงกีฬา ตามคำขอเลขที่ 219251 ทะเบียนเลขที่ 158366 ดีกว่าจำเลยผู้ซึ่งได้รับการจดทะเบียน อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า แม้ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 67 บัญญัติกำหนดระยะเวลาฟ้องคดีภายใน 5 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียน และจำเลยได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2534 แต่ปรากฏว่าจำเลยมิได้ยื่นคำขอต่ออายุการจดทะเบียนภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ซึ่งถือว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนได้ถูกเพิกถอนการจดทะเบียนแล้วตามมาตรา 56 ไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอนการจดทะเบียนอีก และถือไม่ได้ว่าคำฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนล่วงเลยระยะเวลาที่ระบุตามกำหนดหรือขาดอายุความดังที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้นั้นเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อหาที่เกินไปกว่าหรือนอกจากคำฟ้องของโจทก์ เป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีของโจทก์ขาดอายุความตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 67 แล้วนั้น เห็นว่า ที่มาตรา 67 แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 บัญญัติว่า "ภายในห้าปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดตามมาตรา 40 ผู้มีส่วนได้เสียอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ หากแสดงได้ว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น" นั้น เป็นระยะเวลาการฟ้องร้องคดีอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง มิใช่อายุความฟ้องคดี แม้จำเลยจะให้การว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว แต่ก็ถือได้เท่ากับว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง อย่างไรก็ดี เครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนสำหรับสินค้าจำพวกที่ 38 เดิม ตามทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ 158366 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2534 เป็นการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น มิใช่การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535 จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 67 มาใช้บังคับการฟ้องคดีนี้ของโจทก์ได้ การฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยคดีนี้เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41 (1) ซึ่งมิได้กำหนดอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่เครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ของจำเลยได้รับการจดทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม เมื่อเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ของจำเลยได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2534 โจทก์จึงต้องฟ้องคดีนี้ภายในวันที่ 16 กันยายน 2544 ปรากฏว่าวันที่ 16 กันยายน 2544 เป็นวันอาทิตย์อันเป็นวันหยุดราชการ ดังนี้ ที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นวันเปิดทำการจึงเป็นการฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความ 10 ปี คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของจำเลยว่า จำเลยลืมต่ออายุการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ตามทะเบียนเลขที่ 158366 ต่อนายทะเบียนภายใน 90 วัน ก่อนวันที่ 16 กันยายน 2544 อันเป็นวันสิ้นอายุ 10 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง และ 54 วรรคหนึ่ง จึงต้องถือว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า "HACKETT" ตามทะเบียนเลขที่ 158366 ได้ถูกเพิกถอนการจดทะเบียนแล้วโดยผลของกฎหมาย ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 56 ถือว่าเครื่องหมายการค้านั้นได้ถูกเพิกถอนการจดทะเบียนแล้ว ไม่มีเหตุที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนอีก จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า ต้องเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวตามคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์หรือไม่ มิใช่การวินิจฉัยเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องดังที่จำเลยอุทธรณ์แต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.