โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์ ต่อมาโจทก์ต้องมอบที่ดินและตึกแถวให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างและขยายทางหลวงเทศบาล โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยมอบตึกที่เช่าคืนแต่จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาท กับให้จำเลยชำระค่าเช่าและเงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่านายจินดา เกตุปัญญาได้เชิดจำเลยเป็นตัวแทนทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาท จำเลยไม่ได้อยู่อาศัยหรือรับประโยชน์จากตึกพิพาททั้งนายจินดาได้ถอนจำเลยจากการเป็นตัวแทนแล้ว และฟ้องโจทก์เรียกเงินดังกล่าวขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
นายจินดา เกตุปัญญายื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตแล้วจำเลยร่วมให้การในทำนองเดียวกันกับจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทและให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาข้อแรกว่าจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าในฐานะตัวแทนเชิดของจำเลยร่วมซึ่งการตั้งตัวแทนเชิดย่อมไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือดังนั้นแม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 538 จะบังคับให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องกันได้และมาตรา 798 จะบัญญัติว่ากิจการอันใดบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วยก็ต้องถือว่าการตั้งตัวแทนเชิดในสัญญาเช่าเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798 วรรคสองจำเลยและจำเลยร่วมจึงไม่ต้องห้ามนำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าเป็นการกระทำแทนจำเลยร่วมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยลงชื่อเป็นผู้เช่าในสัญญาเช่าซึ่งมีอายุการเช่า 8 ปีและจดทะเบียนการเช่าโดยชอบแล้วเป็นการทำสัญญาเช่าในนามของจำเลยเอง ที่จำเลยและจำเลยร่วมจะนำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าเป็นการทำแทนจำเลยร่วม จำเลยเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยร่วมก็เท่ากับนำสืบว่าความจริงจำเลยไม่ใช่ผู้เช่า จำเลยร่วมเป็นผู้เช่าจึงเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาเช่าตึกพิพาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 (ข) ฯลฯ
พิพากษายืน.