โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคเสร็จสิ้น แล้วให้ผู้บริโภคโอนห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.96 ตารางเมตร (ที่ถูก 45.69 ตารางเมตร) ให้แก่จำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค และให้จำเลยชำระค่าเสียหายอีก 2 เท่า เป็นเงิน 4,829,220 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 15 มีนาคม 2564) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค แล้วให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี โครงการ อ. เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร คืนแก่จำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่กำหนดให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษและส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558 นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภคกับจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุดในโครงการ อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 81383 จำนวน 1 ห้อง ห้องเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร ในราคา 2,414,610 บาท โดยผู้บริโภคชำระเงินครบถ้วนและได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากจำเลยและเข้าพักอาศัยในห้องชุดแล้ว ต่อมาปรากฏว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2559 ห้องชุดดังกล่าวมีน้ำรั่วซึมจากชั้นดาดฟ้าทุกครั้งที่ฝนตก ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าพักอาศัยในห้องชุดได้อย่างปกติสุข ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวจำเลยไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมได้ตามหลักวิศวกรรมอันเป็นการผิดสัญญาซื้อขาย และผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาซื้อขายหรือไม่ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ผู้บริโภคมีสิทธิเลิกสัญญาได้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าการกระทําที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทําโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร..." ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดเป็นเงิน 2,414,610 บาท แก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดที่พิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากการที่สัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตามมาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากเงิน 2,414,610 บาท ได้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีนี้มาและศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้มานั้น จึงไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเป็นเงิน 4,829,220 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ