โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจว่าใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๔๘, ๑๔๙, ๑๕๗  พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๔, ๕, ๑๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์หมดแล้ว  ทำการสืบพยานจำเลยคือตัวจำเลยอ้างตนเองเข้าเบิกความ  แล้วจำเลยยอมให้ศาลตัดพยานจำเลย  ศาลชั้นต้นตัดพยานจำเลยและพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิด ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์หรือให้โอกาสจำเลยสืบพยานจำเลยได้อีก
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าควรให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบ  พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น  ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยจนเสร็จสิ้นแล้วพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นจึงนัดสืบพยานจำเลย  ก่อนถึงวันนัดจำเลยยื่นคำให้การใหม่ขอถอน  คำให้การปฏิเสธฟ้องเดิม  และขอรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริง
โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของโจทก์ที่คัดค้านการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เป็นอันยุติ  ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะจำเลยยื่นคำให้การใหม่  ไม่ขอต่อสู้คดี  เท่ากับว่าไม่ต้องสืบพยานแล้วและศาลฎีกาได้พิเคราะห์รายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ว่า  "วันนี้มีแต่ตัวจำเลยที่มาศาล  ส่วนพยานอื่นนอกจากนี้ไม่มาศาลและจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี  ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนเพราะจำเลยแถลงไว้ว่าจะไม่ขอเลื่อนอีก  และถ้าพยานจำเลยไม่มาศาลด้วยเหตุใด ๆ ก็ยอมให้ศาลตัดพยานจำเลยได้  (รายงานพิจารณาลงวันที่  ๗  มกราคม  ๒๕๐๙)  แล้วจำเลยอ้างตนเองเข้าสืบได้ ๑ ปาก  แล้วจำเลยยอมให้ศาลตัดพยานจำเลยไปตามที่จำเลยแถลงไว้"  เช่นนี้  เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาคดีไปได้เลย  ไม่จำเป็นต้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น หากว่าศาลอุทธรณ์ยังเห็นควรฟังคำพยานจำเลยต่อไปอีก ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะเรียกพยานมาสืบเสียเองได้หรือจะส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นกระทำการสืบพยานจำเลยเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๘ เสร็จแล้วให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนมายังศาลอุทธรณ์เพื่อตัดสินคดีก็ได้ แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปแล้ว  จึงยังไม่ถูกต้อง  ครั้นกระบวนพิจารณาดำเนินมาถึงขั้นนี้  ปรากฏว่าจำเลยไม่ต้องการสืบพยาน  ขอรับสารภาพ  ขอให้ศาลตัดสินคดีไปโดยเร็ว  จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์จะได้พิจารณาพิพากษาคดีให้ถูกต้องตามรูปคดี
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้ส่งสำนวนย้อนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่