คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2 ตามลำดับ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำนวนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 309, 320
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า นายแบร์รี่ ผู้เสียหาย กับนางอุบล เคยเป็นสามีภรรยากัน ต่อมาแยกทางกัน แล้วผู้เสียหายฟ้องเรียกทรัพย์สินจากนางอุบล โดยผู้เสียหายมอบอำนาจให้นายชัยวัฒน์เป็นผู้ดำเนินคดีแทน ต่อมานายชัยวัฒน์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนางอุบล ระหว่างที่คดีดังกล่าวอยู่ในกำหนดระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์กล่าวคือเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2555 ผู้เสียหายซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายชัยวัฒน์กับพวกมารับตัวผู้เสียหายจากเรือนจำพิเศษพัทยาแล้วให้ผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีขาว พาผู้เสียหายไปยังสโมสรฐานทัพเรือสัตหีบ จากนั้นจำเลยที่ 1 กับพวกพาผู้เสียหายเดินทางข้ามแดนไปฝั่งราชอาณาจักรกัมพูชาแล้วเข้าพักที่บ่อนการพนันชื่อสตาร์เวกัส โดยนายชัยวัฒน์กับจำเลยที่ 2 ตามไปยังบ่อนการพนันดังกล่าวในวันที่ 14 สิงหาคม 2555 ผู้เสียหายพักอยู่ที่บ่อนการพนันดังกล่าวจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 แล้วจำเลยที่ 1 กับพวกพาผู้เสียหายไปที่สนามบินพนมเปญและเข้าพักโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามสนามบิน ต่อมาวันที่ 16 สิงหาคม 2555 จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปส่งที่สนามบินพร้อมมอบตั๋วเครื่องบินให้ผู้เสียหายเดินทางโดยสายการบินไปยังเครือรัฐออสเตรเลีย ก่อนคดีนี้ผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้กับพวกรวม 6 คน เป็นอีกคดีหนึ่งต่อศาลชั้นต้น ในความผิดต่อเสรีภาพอันเป็นการกระทำคราวเดียวกันและมีข้อหาเดียวกันกับในคดีนี้คือคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2728/2559 ต่อมาผู้เสียหายขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 3 สิงหาคม 2559 ทนายความโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยเหตุความเจ็บป่วยของโจทก์ (ผู้เสียหาย) จึงไม่อาจเดินทางมาศาลได้ ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานโจทก์ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบพิสูจน์การกระทำความผิดของฝ่ายจำเลย พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การขอเลื่อนคดีของโจทก์มีเหตุสมควรกรณียังไม่สมควรที่ศาลชั้นต้นจะด่วนงดสืบพยานโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษายกฟ้องโดยเหตุที่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เห็นพ้องด้วย ให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยที่ 1 กับพวกฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ชอบด้วยเหตุผลแล้ว จึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คดีดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2728/2559 ของศาลชั้นต้น (คำสั่งศาลฎีกาที่ 7186/2561)
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า เมื่อคดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นฟ้องซ้ำแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 โดยวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2728/2559 ของศาลชั้นต้น แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ในส่วนของจำเลยที่ 1 แต่กลับพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น จึงไม่ถูกต้อง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น และเพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาล เห็นสมควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ในส่วนของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์อีกประการหนึ่งว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ทางนำสืบโจทก์ได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 2 เดินทางมาพร้อมกับจำเลยที่ 1 และนายชัยวัฒน์กับพวกแล้วจำเลยที่ 2 เป็นคนบอกให้ผู้เสียหายขึ้นรถเดินทางออกจากเรือนจำพิเศษพัทยาไปยังสโมสรฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จากนั้นจำเลยที่ 2 เพียงแต่ตามมาพบผู้เสียหายพร้อมกับนายชัยวัฒน์ที่บ่อนการพนันสตาร์เวกัสในวันที่ 14 สิงหาคม 2555 เท่านั้น ซึ่งผู้เสียหายเบิกความว่า เหตุที่จำเลยที่ 2 ต้องเดินทางมากับนายชัยวัฒน์ด้วยเพราะนายชัยวัฒน์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ โดยจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นล่ามให้แก่นายชัยวัฒน์ และผู้เสียหายเบิกความตอบทนายความจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า พยานรู้จักจำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นล่ามของนายชัยวัฒน์ โดยพยานพบจำเลยที่ 2 ครั้งแรกที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งจำเลยที่ 2 เดินทางมาพร้อมกับนายชัยวัฒน์เพื่อทำหน้าที่ล่ามให้แก่นายชัยวัฒน์ และวันที่พยานมามอบตัวที่ศาลจังหวัดพัทยา มีจำเลยที่ 2 มาเป็นล่ามให้ ทั้งในวันที่พยานได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยที่ 2 ก็เดินทางไปพร้อมกับนายชัยวัฒน์เพื่อเป็นล่าม โดยในวันที่รับตัวพยานออกจากเรือนจำพิเศษพัทยา จำเลยที่ 2 บอกให้พยานขึ้นรถคันสีขาวนั้น จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่แปลให้พยานฟังตามที่นายชัยวัฒน์บอกโดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้พูดเช่นนั้นด้วยตัวจำเลยที่ 2 เอง และที่สโมสรฐานทัพเรือสัตหีบ จำเลยที่ 2 เข้าไปนั่งดื่มน้ำด้วยก็ทำหน้าที่เป็นล่ามให้แก่นายชัยวัฒน์ เมื่อนายชัยวัฒน์พูดกับพยาน จำเลยที่ 2 จะทำหน้าที่แปลเมื่อนั้น ตลอดจนวันที่จำเลยที่ 2 ไปหาพยานที่บ่อนการพนันสตาร์เวกัส จำเลยที่ 2 ก็ไปพร้อมกับนายชัยวัฒน์ คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยที่ 2 ที่ว่าจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษให้แก่นายชัยวัฒน์เพื่อพูดคุยกับผู้เสียหายเท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 ร่วมเดินทางมารับผู้เสียหายออกจากเรือนจำพิเศษพัทยาและตามมาสมทบที่บ่อนการพนันสตาร์เวกัสเพื่อเป็นล่ามภาษาอังกฤษให้แก่นายชัยวัฒน์ในการพูดคุยกับผู้เสียหาย พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่เพียงพอที่รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 เฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1 โดยให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่ 1 ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2