โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกัน จำเลยประพฤติชั่วและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงประสงค์จะหย่าขาด และระหว่างสมรสมีสินสมรสคือรถยนต์ 1 คัน ที่ดินโฉนดที่ 1176 และเงินค่าตอบแทนที่จำเลยจะได้รับจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 4198, 4084 ให้แก่นายลพเป็นเงิน 3,100,000 บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3743/2518 ของศาลแพ่ง ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากับโจทก์ และแบ่งสินสมรสดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดที่ 1176 และเงินค่าตอบแทน 3,100,000บาท เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง ส่วนรถยนต์ราคา5,000 บาท ซึ่งจำเลยพร้อมจะจ่ายให้โจทก์และยินยอมหย่าขาดจากการสมรสจึงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยาการแบ่งสินสมรสสำหรับรถยนต์ให้จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ 30,000 บาท ที่ดินโฉนดที่ 1176 ให้จำเลยจดทะเบียนให้โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง หรือชดใช้เงินให้โจทก์ 75,000 บาท ส่วนเงินค่าตอบแทนในการโอนที่ดินโฉนดที่ 4198, 4084 นั้น ให้จำเลยจ่ายให้โจทก์ 1,550,000 บาท เมื่อจำเลยได้รับเงินค่าตอบแทนดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าระหว่างสมรสของโจทก์จำเลยคุณหญิงผกาฉัตรได้ยกที่ดินโฉนดที่ 4084 และ 4198 ให้จำเลยโดยเสน่หาโดยระบุให้เป็นสินส่วนตัว (เอกสารหมาย ล.19) กับทำพินัยกรรมให้ที่ดินโฉนดที่ 5191 ตกเป็นของจำเลยโดยระบุให้เป็นสินส่วนตัว (เอกสารหมาย ล.2)ต่อมานายลพอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนางดาพินีภริยานายลพ ไม่ใช่ของคุณหญิงผกาฉัตรและนายลพฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งและแจ้งความกล่าวหาจำเลยทางอาญาหลายคดีในที่สุดนายลพกับจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ (เอกสารหมาย ล.22) ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3743/2518 ของศาลแพ่ง สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมีใจความสำคัญดังนี้
ข้อ 1. โจทก์จำเลย (คดีหมายเลขแดงที่ 3743/2518 ของศาลแพ่ง)ตกลงกันว่าให้ผู้จัดการมรดกของคุณหญิงผกาฉัตรตามที่ศาลจะมีคำสั่งตั้งจัดการโอนที่ดินโฉนดที่ 1176 ให้นายสมโภชน์จำเลย ฯลฯ
ข้อ 2. ส่วนที่ดินโฉนดที่ 5191 ให้ผู้จัดการมรดกตามข้อ 1. จัดการโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายลพ โจทก์แต่ผู้เดียว ฯลฯ
ข้อ 3. ที่ดินโฉนดที่ 4198 และ 4084 ซึ่งมีชื่อนายสมโภชน์จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยตกลงโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายลพโจทก์แต่ผู้เดียวโดยนายลพโจทก์จะต้องจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนให้นายสมโภชน์จำเลยเป็นเงิน 3,100,000 บาท ภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน หากครบกำหนดนายลพโจทก์ไม่สามารถนำเงินมาชำระให้จำเลยได้ โจทก์และจำเลยตกลงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด แล้วชำระเงิน 3,100,000 บาท ให้แก่นายสมโภชน์ ส่วนที่เหลือให้ตกเป็นสิทธิแก่นายลพโจทก์ ฯลฯ
คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า ที่ดินโฉนดที่ 1176 กับเงินค่าตอบแทนจำนวน3,100,000 บาท จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 4198, 4084 ซึ่งจำเลยได้รับตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหมายเลขแดงที่ 3743/2518ของศาลแพ่ง เป็นสินสมรสหรือสินส่วนตัวของจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า ในเบื้องต้นที่ดินโฉนดที่ 5191 ซึ่งผู้จัดการมรดกของคุณหญิงผกาฉัตรจะต้องจัดการโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายลพตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.22 นั้น เป็นสินส่วนตัวของจำเลยซึ่งจำเลยได้รับมาโดยพินัยกรรมที่ระบุให้เป็นสินส่วนตัว (เอกสารหมาย ล.2)ส่วนที่ดินโฉนดที่ 4198, 4084 ซึ่งจำเลยจะต้องโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายลพ เพื่อจะได้ค่าตอบแทน 3,100,000 บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ก็เป็นสินส่วนตัวของจำเลยเช่นเดียวกัน โดยจำเลยได้รับยกให้มาเป็นสินส่วนตัว (เอกสารหมาย ล.19) แม้ต่อมาจำเลยจะถูกนายลพฟ้องคดีโดยกล่าวอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนางดาพินีภริยานายลพ ซึ่งคุณหญิงผกาฉัตรไม่มีอำนาจยกให้จำเลยและในที่สุดทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสารหมาย ล.22 และศาลพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3743/2518 ของศาลแพ่งก็ตาม สัญญาประนีประนอมดังกล่าวก็เป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับนายลพในคดีนั้น ซึ่งมีประเด็นเพียงว่า ที่พิพาทเป็นของคุณหญิงผกาฉัตรมีอำนาจยกให้จำเลยหรือไม่เท่านั้น ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงลักษณะของทรัพย์ยังต้องถือว่าที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยอยู่นั่นเอง และเมื่อจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นสินส่วนตัวทั้งสามแปลงนั้นให้แก่นายลพตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.22 เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับนายลพ โดยต่างฝ่ายต่างยอมผันผ่อนให้แก่กันเป็นเหตุให้จำเลยได้มาซึ่งที่ดินโฉนดที่ 1176 กับมีสิทธิได้เงินค่าตอบแทน 3,100,000 บาท ก็ต้องถือว่าที่ดินโฉนดที่ 1176 และเงินค่าตอบแทนดังกล่าวเข้ามาแทนที่ที่ดินทั้งสามแปลงอันเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับการขายหรือแลกเปลี่ยนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465(1)เดิม ดังนั้น ที่ดินโฉนดที่ 1176 กับเงินค่าตอบแทน 3,100,000 บาท จึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย หาใช้สินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาไม่
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอแบ่งทรัพย์สินตามรายการที่ (2) ที่ดินโฉนดที่ 1176 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และรายการที่ (3) เงินค่าตอบแทนที่จำเลยจะได้รับจากการโอนโฉนดที่ดินโฉนดที่ 4198, 4084 แขวง(ตำบล) คลองต้น (บางกะปิฝั่งใต้) เขต(อำเภอ) พระโขนง (บางกะปิ) ให้กับนายลพเป็นเงิน 3,100,000 บาทนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์