โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้ากับพวกอีกคนหนึ่ง ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจรน้ำมันเบ็นซิน ๘,๐๐๐ ลิตร ของบริษัทเอสโซแสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ผู้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของนายศุลี มหาสันทนะ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ (๗)(๑๑), ๓๕๗, ๘๓ ริบไขควงกับสว่านที่ใช้ในการกระทำผิดเสียด้วย
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามมาตรา ๓๓๕(๗)(๑๑)จำคุก ๔ ปี จำเลยที่ ๔ มีความผิดตามมาตรา ๓๓๕(๗) จำคุก ๓ ปี ส่วนจำเลยที่ ๒,๓, ๕ ให้ยกฟ้อง ไขควงและสว่านไม่ได้ความว่าใช้ในการกระทำผิด ให้คืนเจ้าของ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า พฤติการณ์ที่จำเลยจ่ายน้ำมันสับสนเกินจำนวนไปนั้นควรมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ เพราะน้ำมันอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๑อยู่แล้ว ไม่ใช่ผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรดังฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า น้ำมันเบ็นซินพิเศษของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทยจำกัด ซึ่งจำเลยที่ ๑ จ่ายไปนี้ ได้เก็บรักษาไว้ในคลังน้ำมันซึ่งมีนาวาเอกสุพรรณศีตะจิตร เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงเจ้าหน้าที่จ่ายหรือเติมน้ำมันให้แก่ผู้นำเอกสารใบสั่งจ่ายน้ำมันมายื่นให้เท่านั้น จำเลยที่ ๑ หาใช่ผู้ครอบครองน้ำมันเบ็นซินพิเศษของผู้เสียหายไม่ จำเลยที่ ๑ ได้เอาน้ำมันเบ็นซินพิเศษ๘,๐๐๐ ลิตร ไปโดยวิธีจ่ายน้ำมันเกินกว่าจำนวนตามใบสั่ง แล้วเอาน้ำมันที่จ่ายเกินไปนั้นไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
พิพากษายืน