โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพกอาวุธปืนไปในเมืองโดยไม่รับอนุญาตและยิงนายทองอินทร์ 1 นัด จนถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า กับต่อสู้ขัดขวางโดยใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเข้าทำการจับกุมจำเลย ขอให้ลงโทษ ฯลฯ
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาพาอาวุธปืน และรับว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และฐานพกพาอาวุธปืน ฯลฯ กับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดโดยบันดาลโทสะ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบซองปืนของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะผู้ตายนอนหลับอยู่บนม้านั่งบนตู้รถไฟชั้นที่ 3 จำเลยปลุกผู้ตายใช้มือเขย่าหลายครั้ง ผู้ตายไม่ตื่น จำเลยโกรธชักปืนพกจากเอวจี้ผู้ตาย พร้อมกับจับคอเสื้อผู้ตายดึง และใช้คำพูดที่ไม่สมควร เมื่อมีคนห้ามมิให้ทำรุนแรงจำเลยเก็บปืน เมื่อผู้ตายตื่นขึ้นจึงด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบคาย จำเลยท้าทายให้ผู้ตายลงไปข้างล่าง เมื่อจำเลยลงจากรถไฟยังไปท้าเรียกให้ผู้ตายตามลงไปที่สถานีอยู่อีกมีคนห้ามก็ไม่หยุด เมื่อผู้ตายไม่ยอมลง จำเลยใช้ปืนเล็งยิงผู้ตายที่ศรีษะ 1 นัด กระสุนถูกที่หน้าผากทะลุท้ายทอย มันสมองกระจาย แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยปลุกผู้ตายด้วยลักษณะอาการก้าวร้าวเช่นนั้น ทั้งใช้อาวุธปืนจี้ นับเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าพนักงานตำรวจพึงปฏิบัติต่อราษฎร เมื่อถูกผู้ตายด่าเอาจำเลยยังท้าทายให้ผู้ตายตามตนลงไปที่ชานชาลาของสถานีอีก นับได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนและสมัครใจเพื่อเข้าวิวาทกับผู้ตายโดยตรง จำเลยจึงจะอ้างเหตุบันดาลโทสะตามกฎหมายเพื่อเป็นเหตุบรรเทาผลร้ายหาได้ไม่ ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยตรง และกระทำไปโดยโมหจริตลืมตัว ไม่ใช่เพราะบันดาลโทสะ
พิพากษายืน