โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อหลังคาที่สร้างตลอดแนวทางภาระจำยอมและรื้อกำแพงอิฐบล็อกกว้าง 2 เมตร สูงประมาณ 2.5 เมตร ที่จำเลยก่อสร้างปิดกั้นทางภาระจำยอม เพื่อเปิดทางเดินทางรถยนต์ให้โจทก์เข้าออกสู่ถนนสาธารณะ หากไม่ยอมรื้อถอน ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจากการขาดรายได้เป็นเงินจำนวน 750,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 150,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนเสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 19778
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 19778 ตามคำขอท้ายฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องโจทก์ให้เป็นพับ แต่ให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของฟ้องแย้งแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรื้อถอนโครงหลังคากันแดดเฉพาะส่วนที่รุกล้ำทางภาระจำยอมส่วนที่ระบายสีดำตามแผนที่พิพาท คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 14,800 บาท ที่เสียเกินมาแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในส่วนของฟ้องและฟ้องแย้งที่ไม่ได้สั่งคืนให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 13578 เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 53 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 19922 เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน 55 ตารางวา ซึ่งอยู่ติดทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 13578 ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 19778 เนื้อที่ 1 งาน 28 ตารางวา โดยจำเลยซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจากนางพรรณี เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2544 ขณะที่ดินเป็นของนางพรรณี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2538 นางพรรณีจดทะเบียนทางภาระจำยอมในที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 13578 ของโจทก์ เรื่องทางเดิน ทางรถยนต์ กว้างประมาณ 2 เมตร ยาวตลอดแนวทางด้านทิศใต้ของที่ดินของนางพรรณี เมื่อจำเลยซื้อที่ดินจากนางพรรณีแล้ว วันที่ 24 สิงหาคม 2555 จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเรื่องแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางภาระจำยอมโดยเพิ่มเติมเรื่องสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 13578 ของโจทก์ด้วย ต่อมาจำเลยสร้างอิฐบล็อกกั้นระหว่างที่ดินโฉนดเลขที่ 13578 และที่ดินของจำเลย โดยต่อเติมกำแพงอิฐบล็อกเดิมออกมาและสร้างโครงหลังคากันแดดเพื่อใช้จอดรถยนต์ในที่ดินของจำเลย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ปรากฏตามสำเนาโฉนดเลขที่ 13578 สำเนาโฉนดเลขที่ 19778 และแผนที่พิพาทว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 13578 ของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ โดยเฉพาะด้านทิศใต้ติดลำห้วยมะลิและที่ดินโฉนดเลขที่ 19778 ของนางพรรณี ในปี 2538 โจทก์จึงทำข้อตกลงเรื่องภาระจำยอมกับนางพรรณีให้โจทก์ได้ภาระจำยอมทางเดินและทางรถยนต์กว้าง 2 เมตร ยาว 24.40 เมตร บนที่ดินของนางพรรณีด้านทิศใต้เพื่อโจทก์สามารถใช้เป็นทางออกสู่ถนนสุวรรณประสาทได้ ต่อมาปี 2544 จำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 19778 จากนางพรรณี จำเลยจึงต้องผูกพันรับกรรมหรืองดการใช้สิทธิในที่ดินภารยทรัพย์ส่วนที่จดทะเบียนภาระจำยอมแก่โจทก์ กับเมื่อปี 2555 จำเลยก็ได้จดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงภาระจำยอม โดยเพิ่มเรื่องสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ด้วย แต่ในความเป็นจริงที่ดินของโจทก์มิได้อยู่ติดชิดลำห้วยมะลิทีเดียว โดยทางราชการได้กันที่ดินระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยกับลำห้วยมะลิไว้ ทางออกจากที่ดินของโจทก์ไปถนนสุวรรณประสาทส่วนหนึ่งจึงเป็นทางภาระจำยอมในที่ดินของจำเลย กับอีกส่วนหนึ่งเป็นที่ดินติดลำห้วยมะลิ ที่ทางราชการกันไว้ อย่างไรก็ดี เมื่อจำเลยเจ้าของภารยทรัพย์มีความผูกพันต้องยอมรับกรรมหรืองดใช้สิทธิบางอย่างในที่ดินของตนเองส่วนที่จดทะเบียนเป็นทางเดินและทางรถยนต์แก่โจทก์ จำเลยจึงไม่อาจประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 นายเกียรติพงศ์ นายช่างรังวัดชำนาญงาน สำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี สาขาพระพุทธบาท พยานโจทก์เบิกความว่า ที่ดินที่เป็นทางภาระจำยอมอยู่ระหว่างหลักไม้หรือหลักหมุด ลม.1 ลม.2 ลม.4 และ ลม.5 ตามแผนที่พิพาท โดยบริเวณที่เป็นหลังคาจะเป็นจุด ลม.4 ถึงมุมหลังคา 1 และมุมหลังคา 2 บริเวณเนื้อที่ดินของที่ดินตามแนว ลม.1 ลม.2 ลม.4 และ ลม.5 มีเนื้อที่ทั้งหมด 12 ตารางวา บริเวณปลายหลังคาโรงจอดรถจุดที่เป็นมุมหลังคา 1 กับมุมหลังคา 2 มีความกว้างประมาณ 1.5 เมตร ที่ล้ำแนวเขตภาระจำยอม นายเกียรติพงศ์ พยานโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ได้รู้เห็นข้อเท็จจริงในคดีเนื่องจากปฎิบัติหน้าที่ จึงเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียในคดี คำเบิกความของนายเกียรติพงศ์มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยก่อสร้างหลังคาโรงจอดรถรุกล้ำแนวทางภาระจำยอม ซึ่งจำเลยไม่มีอำนาจกระทำได้ การที่โจทก์ได้ใช้ที่ดินริมลำห้วยมะลิที่ทางราชการกันไว้เป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะด้วย เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับทางราชการ ไม่เป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิสร้างหลังคาโรงจอดรถยื่นออกมารุกล้ำทางภาระจำยอมได้ การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก อันกระทบสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้จำเลยรื้อถอนโครงหลังคาเฉพาะส่วนที่รุกล้ำทางภาระจำยอมได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า กรณีมีเหตุให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 19778 ของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะเบิกความรับว่า โจทก์ประกอบกิจการหอพักและโรงยิมในที่ดินโฉนดเลขที่ 19922 และโจทก์ให้ลูกค้าของโจทก์ซึ่งใช้บริการในที่ดินดังกล่าวมาใช้ทางภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 19778 ของจำเลยด้วย อันเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1388 และมาตรา 1389 แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวห้ามมิให้โจทก์กระทำเช่นนั้น หาทำให้สิทธิในการใช้ทางภาระจำยอมของโจทก์สิ้นไปไม่ ส่วนการที่โจทก์ใช้ทางที่ติดกับลำห้วยมะลิเป็นทางเข้าออกด้วยนั้น ก็ได้ความว่า โจทก์ยังคงใช้ทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์ของที่ดินโฉนดเลขที่ 13578 อยู่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 บัญญัติว่า ถ้าภาระจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ไซร้ ท่านว่าภาระจำยอมนั้นสิ้นไป แต่ถ้าความเป็นไปมีทางให้กลับใช้ภาระจำยอมได้ไซร้ ท่านว่าภาระจำยอมนั้นกลับมีขึ้นอีก แต่ต้องยังไม่พ้นอายุความที่ระบุไว้ในมาตราก่อน ซึ่งคำว่า ภาระจำยอมหมดประโยชน์นั้นหมายความว่าไม่สามารถใช้ภารยทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์ได้อีกต่อไป หากภารยทรัพย์ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่แม้ไม่มีการใช้ภารยทรัพย์นั้น ก็หาใช่ภาระจำยอมหมดประโยชน์ตามความหมายของบทกฎหมายดังกล่าวไม่ ดังนั้น แม้โจทก์จะใช้ทางที่ติดกับลำห้วยมะลิเป็นทางเข้าออกด้วยก็หาทำให้ทางภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 19778 ของจำเลยที่มีอยู่แล้วสิ้นไปไม่ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องภาระจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 ดังที่จำเลยฎีกามา กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินเลขที่ 19778 ของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง จำเลยฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้จำเลยรื้อถอนโครงหลังคากันแดดเฉพาะส่วนที่รุกล้ำทางภาระจำยอมและขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมตามฟ้องแย้งของจำเลย ถือเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแบบคดีไม่มีทุนทรัพย์ในส่วนของคำฟ้อง 200 บาท และฟ้องแย้ง 200 บาท รวมเป็นเงิน 400 บาท แต่จำเลยเสียมา 30,100 บาท จึงเห็นควรให้คืนเงินส่วนที่เสียเกินมาจำนวน 29,700 บาท แก่จำเลย
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 29,700 บาท ที่เสียเกินมาแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาส่วนที่ไม่ได้สั่งคืนให้เป็นพับ