คดีนี้ เนื่องจากจำเลยยอมรับใช้เงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ ๑๓,๐๐๐ บาท ภายในกำหนด ๑ เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลได้พิพากษาตามยอมครบกำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงนำยึดที่ดิน
ผู้ร้องร้องว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามคดีแพ่งแดงที่ ๒๓๖,๒๓๗/๒๕๐๒ ของศาลจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยได้ขายที่ดินรายนี้ให้แก่ผู้ร้องแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึด
โจทก์ให้การว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยอยู่ตามคำพิพากษาของศาล จำเลยกู้และรับงินของโจทก์ไปเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๙๘ ต่อมาวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๙ จำเลยนำนาพิพาทไปทำสัญญาจะซื้อจะขายใหักับผู้ร้องทำให้โจทก์เสียเปรียบ ผู้ร้องยังค้างชำระราคาอยู่ ที่ดินยังคงเป็นของจำเลยขณะนำยึดจำเลยยังมิได้ทำการโอนขายให้แก่ผู้ร้องโดยเด็ดขาด
ในวันนัดสืบพยานผู้ร้อง คู่ความรับกันว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งแดงที่ ๒๓๖, ๒๓๗/๒๕๐๒ ซึ่งศาลฎีกาพากษาว่า โจทก์ (ผู้ร้องคดีนี้) มิได้เป็นผู้ผิดสัญญา ให้จำเลยรับเงินค่านาและไถ่ถอนการจำนองนาพิพาทจากสหกรณ์ แล้วโอนขายให้โจทก์ตามสัญญา เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฯ มีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยโอนนาพิพาทให้แก่ผู้ใด หลังจากศาลฎีกาพิพากษา ผู้ร้องในคดีนี้จึงชำระเงินค่าที่ดิน ๘,๑๕๐ บาทที่ค้างต่อศาล เพื่อให้จำเลยรับไปไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยยังมิได้รับเงินไป ที่พิพาทยังไม่มีการโอนและยังไม่ได้ไถ่ถอนจำนอง ผู้ร้องครอบคอรงที่พิพาทตลอดมา
ส่วนประเด็นที่โจทก์อ้างว่าทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เพราะโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาล จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๙๘ ต่อมาวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๙ จำเลยทำสัญญาจะซื้อขาย ให้ผู้ร้องนั้น ผู้ร้องรับว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หนังสือสัญญากู้ลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๙๘ และสัญญาจะซื้อขายลงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๙ จริง
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน และนัดฟังคำพิพากษาวันรุ่งขึ้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิในที่พิพาท ข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าเป็นการทำให้เจ้าหนี้(โจทก์) เสียเปรียบ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้ร้องได้ไปซึ่งสิทธิความเป็นเจ้าของที่นาพิาทแล้ว โดยผลแห่งคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๖,๒๓๗/๒๕๐๒ นับแต่วันฟังคำพิพากษาฎีกาเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๐๕ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์รายพิพาท พิพากษากลับ ให้โจทก์ปล่อยทรัพย์รายพิพาท
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๓๖,๒๓๗/๒๕๐๒ ว่า สัญญาจะซื้อขายนาพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยยังมีผลให้บังคับกันได้อยู่ ให้จำเลยรับเงินราคานาพิพาทที่ค้างอยู่อีก ๘,๑๕๐ บาท จากผู้ร้องและจัดการไถ่ถอนการจำนองนาพิพาทที่จำเลยทำไว้กับสหกรณ์ แล้วโอนขายให้ผู้ร้องตามสัญญา ซึ่งศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาผู้ร้องได้ครอบครองนาพิพาทมาตามสัญญาจะซื้อขาย ผู้ร้องได้นำเงิน ๘,๑๕๐ บาท มาวางศาล ศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๖,๒๓๗/๒๕๐๒ ซึ่งให้จำเลยโอนขายนาพิพาทให้แก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น เป็นการบังคับโดยเฉพาะเจาะจงและสภาพแห่งหนี้เปิดช่องที่จะบังคับได้ จำเลยจะเลือกชำระหนี้เป็นอย่างอื่นมิได้ ทั้งไม่อยู่ในบังคับแห่งเงื่อนเวลาที่ผู้ร้องจะยังบังคับไม่ได้อย่างใด นาพิพาทไม่มีโฉนด (มีแต่เพียง ส.ด.๑) และผู้ร้องก็เป็นผู้ครอบครองอยู่ คำพิพากษานี้ย่อมมีผลให้ผู้ร้องได้สิทธิเป็นเจ้าของนาพิพาทโดยทันที แม้การชำระราคาที่ค้าง รวมทั้งการไถ่ถอน จำนอง และการจดทะเบียน โอน ขายนาพิพาทจะยังมิได้กระทำกันก็ตาม ก็หามีผลเปลี่ยนแปลงสิทธิของผู้ร้องเช่นนี้ประการใดไม่ โจทก์เพิ่งทำการยึดนาพิพาทภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๖, ๒๓๗/๒๕๐๒ คือ ภายหลังที่ผู้ร้องได้สิทธิดังกล่าวแล้วโจทก์จะอ้างว่าผู้ร้องและจำเลยเพียงแต่มีสัญญาจะซื้อจะขายต่อกันเท่านั้น ซึ่งผู้ร้องยังไม่มีสิทธิในนาพิพาทหาได้ไม่
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานหลักฐานของคู่กรณีในเรื่องที่โจทก์คัดค้านว่า การซื้อขายนาพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบเสร็จแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.