คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินยืมกับดอกเบี้ยและขอยึดที่ดินตำบลบางขุนพรหม พระนครโฉนดที่ 1699 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ก่อนคำพิพากษา จำเลยขาดนัด ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้รายนี้
ม.ล.ปองผู้ร้องร้องว่าได้รับจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ยึดไว้ ขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์ก่อนเจ้าหนี้อื่น
นางบุหงาผู้ร้องอีกคนหนึ่งร้องว่าเป็นเจ้าหนี้นายยศสามีจำเลยทรัพย์ที่โจทก์ยึดเป็นสินสมรสและสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับนายยศนายยศมิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาตให้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และ ม.ล.ปองและอ้างเหตุอีกหลายประการสรุปแล้วถือว่าโจทก์และ ม.ล.ปองไม่มีสิทธิจะยึดส่วนบริคณห์ของนายยศ นางบุหงาชอบที่จะได้รับการเฉลี่ยในส่วนของจำเลยอีก
โจทก์แถลงคัดค้านผู้ร้องทั้งสอง
1. รับว่าทรัพย์ที่ยึดติดจำนองเพียง 30,000 บาทดอกเบี้ย 15,750 บาท ม.ล.ปองรับไปแล้ว การขึ้นเงินจำนองอีก 20,000 บาท ที่นางบุหงาว่าสมยอมโดยทุจริตนั้นไม่ทราบว่าจะเป็นจริงอย่างไร
2. นางบุหงาไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์เพราะจำเลยมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของนางบุหงา ไม่รับรองว่านายยศกับจำเลยจะเป็นสามีภริยากันและคัดค้านสิทธิ์อย่างอื่นของนางบุหงาอีกหลายประการ
ม.ล.ปองผู้ร้องคัดค้านคำร้องของนางบุหงาว่า นางบุหงาไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยหรือขอกันทรัพย์สินบริคณห์ชำระหนี้นางบุหงา ๆ ต้องฟ้องพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้นางบุหงาตามคำพิพากษาเสียก่อน
ศาลสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองไปว่ากล่าวกันให้เสร็จเสียก่อน ส่วนคู่ความทุกฝ่ายตกลงขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์สินพิพาทแล้วให้กองหมายรักษาเงินไว้ก่อน ศาลอนุญาต
เนื่องจากศาลสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองไปว่ากล่าวกันเองเสียก่อนนางบุหงาจึงฟ้อง ม.ล.ปอง แต่ภายหลังกลับถอนฟ้อง ม.ล.ปองจึงยื่นคำร้องสรุปแล้วเป็นการเร่งรัดให้พิจารณาคำร้องของ ม.ล.ปองให้ได้รับชำระหนี้จำนองตามคำร้องเดิม
ศาลนัดพร้อม ถึงกำหนด ม.ล.ปองและทนายไม่มา ทนายโจทก์แถลงขอให้ยกคำร้องของ ม.ล.ปองที่ขอเฉลี่ย (คำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น) ศาลแพ่งสั่งยกคำร้องของม.ล.ปองแต่ในคำสั่งฉบับเดียวกันนี้ยังคงถือว่า ม.ล.ปองมีฐานะเป็นผู้ร้องขออยู่อีกฝ่ายหนึ่งดังเดิม
หลังจากศาลสั่งยกคำร้อง (คำร้องเตือนให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคำร้องเดิมที่ขอรับชำระหนี้จำนอง) ของ ม.ล.ปองแล้ว ต่อมาม.ล.ปองยื่นคำร้องว่า คดีที่นางบุหงาฟ้องแยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับนายยศนั้น ศาลได้พิพากษาแล้ว ขอให้ศาลพิจารณาคำร้อง (คำร้องเดิมที่ขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น) ของผู้ร้องต่อไป
โจทก์และนางบุหงาแถลงต้องกันว่าศาลยกคำร้องของ ม.ล.ปองแล้ว ต้องถือว่าคดีของ ม.ล.ปองเสร็จสิ้นไปแล้ว
แล้วนางบุหงาร้องขอให้ศาลสั่งแยกเงินที่เป็นสินบริคณห์ของนายยศออกจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้นางบุหงา โจทก์และม.ล.ปองคัดค้านนางบุหงาก็ค้านว่าหนี้สินของ ม.ล.ปองมิใช่หนี้ตามคำพิพากษา จะเป็นหนี้กันจริงหรือไม่ ๆ รับรองเอกสารไม่สุจริต การจำนองไม่ผูกพันส่วนได้ของนายยศซึ่งเป็นลูกหนี้ของนางบุหงา
ศาลนัดพร้อม ม.ล.ปองแถลงรับว่าได้รับดอกเบี้ยจากจำเลยแล้ว
ทนายโจทก์แถลงไม่สืบพยานต่อสู้ในข้อกฎหมายว่าการที่นายยศเซ็นชื่อเป็นพยานในการจำนองไม่ถือว่าได้ยินยอมเป็นหนังสือ
นอกจากนี้โจทก์และนางบุหงาคัดค้านว่าศาลได้สั่งยกคำร้อง (คำร้องเตือนให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคำร้องเดิม 23 ก.พ. 94 ที่ขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น) ของ ม.ล.ปองไปแล้ว ไม่มีสิทธิที่จะสั่งให้นัดพิจารณาอีก
ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ ม.ล.ปองผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้อื่นตามคำร้อง 23 ก.พ. 2494 หักดอกเบี้ยแล้ว ม.ล.ปองยังมีสิทธิจะขอหักเพียง 51,500 บาท แต่การขายทอดตลาดได้เงิน 45,200 บาทให้ ม.ล.ปองรับชำระจากเงินจำนวนนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับไปทุกฝ่าย
นางบุหงาผู้ร้องฝ่ายเดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น
นางบุหงาผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า
ฎีกาข้อ 1. เห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ม.ล.ปอง 6 ก.ค. 2494 ซึ่งเป็นคำร้องเตือนให้พิจารณาวินิจฉัยคำร้องเดิมของ ม.ล.ปอง 23 ก.พ. 2494 ที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่สวนพิจารณาให้เท่านั้น ศาลชั้นต้นหาได้สั่งยกคำร้องเดิมนั้นไม่
ฎีกาข้อ 2. ข้อความตามมาตรา 289 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เมื่อได้ความว่า ม.ล.ปองเป็นผู้รับจำนองย่อมเป็นเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิ์ชอบที่จะร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำพิพากษา ส่วนเรื่องฤชาธรรมเนียมม.ล.ปองจะต้องเสียอย่างคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่นั้น นางบุหงามิได้โต้แย้งมาแต่ในศาลชั้นต้น จึงไม่วินิจฉัย
ฎีกาข้อ 3. คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทกันในคดีนี้ว่า ม.ล.ปองเจ้าหนี้ผู้รับจำนองของจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นของจำเลยหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าการจำนองรายนี้นายยศสามีจำเลยรู้เห็นยินยอมได้ลงนามในสัญญาจำนองก็ย่อมผูกพันสินบริคณห์ มีอำนาจวินิจฉัยและมีคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้ หาเป็นการลบล้างคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีแดงที่ 1472/2497 ที่ผู้ฎีกาฟ้องขอให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับนายยศสามีจำเลยไม่
ฎีกาข้อ 4. เอกสาร ป.3 สัญญาขึ้นเงินจำนองเป็นเอกสารที่ศาลหมายเรียกมาผู้อ้างไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายก่อนวันนัดพิจารณา 3 วัน ทั้งนายยศได้ลงลายมือชื่อในเอกสารถือได้ว่ายินยอมให้จำเลยเอาสินสมรสอันเป็นสินบริคณห์ไปจำนองได้
เอกสาร ป.4 นั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจให้อ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 อนึ่งแม้จะไม่รับฟังเอกสาร ป.4 ม.ล.ปองก็ยังมีเอกสาร ป.3 ซึ่งนายยศสามีจำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานรู้เห็นในการจำนองฟังได้ว่านายยศได้ยินยอมด้วยแล้ว
พิพากษายืน