คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ทางเดินพิพาทกว้างประมาณ ๘๐ เซนติเมตรยาวตลอดแนวทางเดินในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๕๓ ตำบลวัดพระยาไกร (บ้านทวาย)อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ ๑ ยาวประมาณ ๙๑เมตร และในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๕๑ และ ๑๒๕๒ ตำบลวัดพระยาไกร (บ้านทวาย)อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ ยาวประมาณ๖๓ เมตร และ ๗๒.๕๐ เมตร ตามลำดับ เป็นทางภาระจำยอมให้จำเลยทั้งเจ็ดจดทะเบียนภาระจำยอมแก่โจทก์ทั้งเจ็ด เพื่อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๗๕ เลขที่ดิน ๑๙ตำบลวัดพระยาไกร (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานครหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ดให้จำเลยทั้งเจ็ดรื้อสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่ได้กระทำลงบนทางพิพาท ให้จำเลยทั้งเจ็ดทำสะพานไม้ให้อยู่ในสภาพเดิมโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งเจ็ด และให้ยกฟ้องจำเลยร่วม คดีอยู่ระหว่างการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี มีผู้ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการบังคับคดี ๒ ราย เพื่อความสะดวกต่อการพิพากษาจึงให้เรียกผู้ร้องรายแรกว่า ผู้ร้องรายที่ ๑ และให้เรียกผู้ร้องรายหลังว่า ผู้ร้องรายที่ ๒ โดยผู้ร้องทั้งสองรายยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีอ้างว่า ผู้ร้องรายที่ ๑และที่ ๒ ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๔ วันที่๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ และวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๔ ตามลำดับ ผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๓๒๙, ๔๘๖๗๗ และ ๔๗๓๖๕และเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเลขที่ ๒๐๒๗/๘๑, ๒๐๒๗/๑๓๒ และ ๒๐๒๗/๘๐ ตำบลทุ่งวัดดอน (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๓๒๙, ๔๘๖๗๗, และ ๔๗๓๖๕ แบ่งแยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่๑๒๕๓ ตำบลทุ่งวัดดอน (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานครของจำเลยที่ ๑ สิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการรื้อถอนและทำสะพานไม้เป็นสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินของผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีอำนาจที่จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ ขอให้ยกเลิกการบังคับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองราย
ผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องรายที่ ๑และที่ ๒ ว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีแก่ที่ดินของผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาว่า ผู้ร้องรายที่ ๑และที่ ๒ มิได้เป็นคู่ความในคดี คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ผูกพันผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒โจทก์มิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งภาระจำยอม โจทก์จึงไม่อาจยกสิทธิการได้มาอันยังมิได้จดทะเบียนขึ้นต่อสู้ผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นผู้ได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวส่วนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการรื้อถอนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วได้นั้น เห็นว่า ภาระจำยอมจะสิ้นไปก็แต่เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมดหรือมิได้ใช้สิบปี ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๗ หรือมาตรา ๑๓๙๙ ดังนั้น แม้ผู้ร้องรายที่ ๑และที่ ๒ จะมิได้เป็นคู่ความในคดีและรับโอนที่ดินซึ่งเป็นภารยทรัพย์จากจำเลยทั้งเจ็ดโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ ก็จะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินนั้น ต้องสิ้นไปเพราะเหตุที่มิได้จดทะเบียนภาระจำยอมหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่๘๐๐/๒๕๐๒ ระหว่าง หลวงสุภาเทพ โจทก์ นางอิ่มจิตร ถาวรธนสาร จำเลย ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และเมื่อตามคำร้องของผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งได้แล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ ก่อนแต่อย่างใด นอกจากนี้ ที่ผู้ร้องรายที่ ๒อ้างว่า โดยสภาพปัจจุบันทางภาระจำยอมตามแนวทางที่กำหนดไว้เดิมแปรสภาพไปตั้งแต่ก่อนที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงหมดประโยชน์ที่จะใช้และไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ แก่สามยทรัพย์แล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องรายที่ ๑ และที่ ๒ กับจำเลยจะต้องดำเนินการขอให้ย้ายภาระจำยอมหรือขอให้ภารยทรัพย์บางส่วนพ้นจากภาระจำยอมตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๒ หรือมาตรา ๑๓๙๔ไม่อาจอ้างว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้ทำได้ ทั้งไม่อาจขอให้ยกเลิกการบังคับคดีเพราะไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายแต่อย่างใด
พิพากษายืน.