โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 757,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 720,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยชำระเงิน 757,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 720,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความให้ 5,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ที่จำเลยฎีกาว่า บันทึกตกลงช่วยเหลือค่าสินไหมทดแทนเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยจึงระงับไป เห็นว่า สิทธิในการเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายของนายสิทธิชัยและของโจทก์ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคท้าย ถือเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละคนมิใช่เป็นสิทธิร่วมกันที่กฎหมายกำหนดให้บิดาหรือมารดาคนหนึ่งคนใดสามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้เพียงคนเดียว และการที่นายสิทธิชัยไปทำบันทึกข้อตกลงกับนายทวนชัย เป็นเรื่องที่นายสิทธิชัยกระทำไปเพียงลำพัง โดยที่โจทก์มิได้มอบอำนาจให้ทำแทนโจทก์ด้วย จึงไม่ผูกพันโจทก์ สิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายของโจทก์จึงไม่ระงับ โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายจากจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เคยฟ้องเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ต่อศาลแขวงมิใช่เป็นสิทธิร่วมกันที่กฎหมายกำหนดให้บิดาหรือมารดาคนหนึ่งคนใดสามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้เพียงคนเดียว และการที่นายสิทธิชัยไปทำบันทึกข้อตกลงกับนายทวนชัย เป็นเรื่องที่นายสิทธิชัยกระทำไปเพียงลำพัง โดยที่โจทก์มิได้มอบอำนาจให้ทำแทนโจทก์ด้วย จึงไม่ผูกพันโจทก์ สิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายของโจทก์จึงไม่ระงับ โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายจากจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เคยฟ้องเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ต่อศาลแขวงลำปางเพียง 300,000 บาท แต่เมื่อรวมดอกเบี้ยเกินอำนาจศาลแขวงลำปาง โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ และโจทก์ไม่นำสืบถึงรายได้ของผู้ตายนั้นเห็นว่า แม้โจทก์จะเคยฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะเพียง 300,000 บาท ก็ไม่ผูกพันการวินิจฉัยกำหนดค่าขาดไร้อุปการะในคดีนี้ และค่าขาดไร้อุปการะเป็นสิทธิตามกฎหมายโดยไม่จำต้องคำนึงว่าระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ตายมีรายได้และเลี้ยงดูโจทก์หรือไม่และเพียงใด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ ผู้ตายอายุ 20 ปี โจทก์อายุ 40 ปี ที่โจทก์เรียกค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี เป็นเงิน 720,000 บาท จึงเป็นจำนวนที่เหมาะสมตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว มิได้สูงจนเกินสมควร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ