โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบริเวณเขตแดนกรรมสิทธิ์ของบ้านโจทก์โดยเข้าไปตีไม้สำหรับทำนั่งร้านคร่อมเลยเข้าไปในบริเวณหลังคาบ้านโจทก์ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งให้จำเลยที่ 2 กับพวกกระทำ เป็นเหตุให้สิ่งของของโจทก์แตกเสียหายใช้การไม่ได้ตามปกติ คิดเป็นเงิน10,000 บาท หลังจากนั้น จำเลยที่ 2 ได้นำคนงานบุกรุกเข้าไปในเขตแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ บริเวณหลังคาบ้านอีก และได้ตีไม้บุกรุกเข้าไปในแนวเขตหลังคาบ้านโจทก์ เป็นเหตุให้สิ่งของของโจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 10,000 บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362 และมาตรา 83 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ยังไม่พอฟังว่าคดีมีมูลความผิดพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า 'คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ สำหรับความผิดฐานบุกรุกนั้น โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองกับพวกบุกรุกเข้าไปในบริเวณเขตแดนกรรมสิทธิ์ของบ้านโจทก์ โจทก์ห้ามปรามแล้วไม่ยอมเชื่อฟัง กลับร่วมกันตีไม้สำหรับทำนั่งร้านเพื่อทำงานของตนคร่อมเลยเข้าไปในบริเวณหลังคาบ้านโจทก์ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปในบริเวณเขตแดนกรรมสิทธิ์ของบ้านโจทก์ เพื่อยึดถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้น หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข อันเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานบุกรุกในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และทั้งไม่แจ้งชัดว่าเพื่อยึดถือการครอบครองหรือกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ ดังนี้ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา158 (5) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลจะลงโทษจำเลยทั้งสองฐานบุกรุกไม่ได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการที่จำเลยเข้าไปทำนั่งร้านในแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากโจทก์ก่อนจะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามฎีกาของโจทก์หรือไม่ ส่วนความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยทำนั่งร้านยื่นล้ำเข้าไปในแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์แม้จะได้สร้างสิ่งรองรับเพื่อป้องกันมิให้เศษอิฐ ปูน ตกลงไปก็ตาม จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าในระหว่างก่อสร้างจะต้องมีเศษอิฐ ปูน ตกหล่นเข้าไปในบ้านโจทก์ทำให้ทรัพย์สินในบ้านโจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา เห็นว่าฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับโดยเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย'
พิพากษายืน.