โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2532 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายอนุชิตถึงแก่ความตายเหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ประกอบมาตรา 72 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 19 ปีลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 76 คำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปีให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสาม ตามมาตรา 76 คำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยวิ่งไล่ตามผู้ตายไปทันแล้วใช้มีดแทงผู้ตายปรากฏบาดแผลลึกถึง 14 ซ.ม. ทะลุถูกเยื่อหุ้มหัวใจและเส้นเลือดดำขั้วหัวใจแสดงว่าจำเลยแทงโดยแรง ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้ตายอาจได้รับบาดแผลถึงแก่ความตายได้ เพราะบริเวณอกที่จำเลยแทงมีอวัยวะสำคัญอยู่ภายใน จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าแต่เมื่อผู้ตายเป็นฝ่ายหาเรื่องทำร้ายนายสมเจตน์เพื่อนของจำเลยก่อนโดยไม่มีสาเหตุ แล้วผู้ตายหันไปเตะจำเลยซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ นั้น จำเลยจึงต้องลุกขึ้นไปยืนบนม้านั่ง ผู้ตายกลับแสดงความยิ่งใหญ่ประกาศตนว่าเป็นไทยสุริยะ 29 และติดตามจะเข้าทำร้ายจำเลยอีก เมื่อกลุ่มชายประมาณ 10 คน ที่นั่งอยู่เห็นความไม่เป็นธรรมพากันลุกขึ้นมาช่วยจำเลย ผู้ตายจึงวิ่งหนีออกไป ที่กลางถนน จำเลยวิ่งไล่ตามผู้ตายไปแล้ว ต่อสู้กันขึ้นจำเลยได้ใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นเรื่องที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยบันดาลโทสะไล่ติดตามไปทำร้ายผู้ตายในขณะนั้น เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 19 ปีลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 4 ปีจำเลยรับสารภาพในชั้นถูกจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน