คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 11807 พร้อมห้องชุดเลขที่ 32/5 ถึง 32/55, 32/57 ถึง 32/59, 32/61 ในอาคารชุดแหลมหลวงซีวิวบนที่ดินแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ โดยจำเลยที่ 7 รับผิดในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 8 รับผิดไม่เกินทรัพย์มรดกที่ตนได้รับ แต่จำเลยทั้งแปดไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งแปดตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่าการดำเนินการของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้โจทก์จดทะเบียนแก้ไขชื่อห้องชุดรวม 55 ห้องชุดกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิม และให้ยกเลิกการประกาศขายทรัพย์จำนองห้องชุดดังกล่าวของโจทก์ กับห้ามโจทก์ดำเนินการบังคับเอากับห้องชุดซึ่งเป็นทรัพย์จำนองตามคำพิพากษาโดยไม่ผ่านกระบวนการบังคับคดีของศาล
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2556 จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาพร้อมกับคำแถลงขอส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาแต่เฉพาะผู้สวมสิทธิแทนโจทก์ อ้างว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ติดใจคัดค้านการดำเนินคดีของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2556 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำแถลงของจำเลยที่ 1 ว่า อนุญาตให้ส่งหมายแก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยโดยวิธีปิดหมาย ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 นั้น ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ติดใจคัดค้านฎีกาดังที่จำเลยที่ 1 อ้าง จึงให้จำเลยที่ 1 นำส่งคำร้องไม่คัดค้านดังที่จำเลยที่ 1 อ้างก่อน แล้วจึงจะพิจารณาสั่งต่อไป และศาลชั้นต้นมีคำสั่งฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า รับเป็นฎีกาของจำเลยที่ 1 สำเนาให้ผู้สวมสิทธิแทนโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 แก้ฎีกา ให้ผู้ร้องนำส่งภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา ในวันที่จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาและคำแถลงดังกล่าว ทนายจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในช่องที่ประทับตราด้านล่างฎีกาและคำแถลงของจำเลยที่ 1 ว่า ถ้าศาลไม่อาจสั่งได้ในวันนี้ ผู้ยื่นจะมาติดตามเพื่อทราบคำสั่งทุก ๆ 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทราบคำสั่งแล้ว จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นอย่างช้าที่สุดในวันที่ 25 เมษายน 2556 จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ภายในวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 แต่จำเลยที่ 1 คงนำส่งสำเนาฎีกาแก่โจทก์โดยวางเงินค่านำส่งในวันที่ยื่นฎีกาและคำแถลงเท่านั้น มิได้ส่งคำร้องไม่คัดค้านของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 และไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ตามคำสั่งศาลชั้นต้นแต่อย่างใด ถือว่าเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดอันเป็นการทิ้งฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 (เดิม) และ 247 (เดิม)
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ