โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ตำแหน่งสารวัตรปกครองป้องกัน ประจำสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมือง ปราจีนบุรี มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นภายในเขตอำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบกล่าวจูงใจ บ.ให้นำเงินมามอบให้จำเลย เพื่อจะช่วยเหลือ ส.ซึ่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาฆ่าผู้อื่น ให้หลุดพ้นจากคดีอาญา โดยจะติดต่อกับร้อยตำรวจตรี ว. พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนให้ทำคำสั่งไม่ฟ้อง ส. บ. ได้มอบเงินให้แก่จำเลยไปแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓, ๑๔๘, ๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔, ๑๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ จำคุก ๓ ปี ข้อหาตามมาตรา ๑๔๘, ๑๕๗ ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘ และมาตรา ๑๔๗ ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘ นั้น จะต้องเป็นเจ้าพนักงานที่ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ส่วนมาตรา ๑๕๗ นั้นจะต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติเฉพาะแต่ตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้นๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ และคดีนี้ข้อเท็จจริงคงฟังได้เป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับคดีที่ ส.ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด การที่จำเลยเรียกและรับเงินจาก บ.เป็นเรื่องปฏิบัตินอกหน้าที่ แสดงว่าจำเลยไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ใดๆ เกี่ยวกับคดีที่ ส.เป็นผู้ต้องหาเลย การที่จำเลยเรียกและรับเงินไปจาก บ. จึงเป็นเรื่องปฏิบัตินอกสถานที่
พิพากษายืน