โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันฉุดคร่าห์นางสาวปิ่นไปเพื่อการอนาจาร และพยายามฆ่านายประสาน สำหรับนายนาคจำเลยต้องหาว่าข่มขืนกระทำชำเรานางสาวปิ่นด้วยอีกกะทงหนึ่ง
จำเลยปฏิเสธ
ขณะกำลังสืบตัวนางสาวปิ่นผู้เสียหาย นายเคลิ้มบิดานางสาวปิ่นได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาฐานข่มขืนกระทำชำเรา ศาลสอบถามนางสาวปิ่นรับว่านายเคลิ้ม เป็นบิดาตนจริง แต่ไม่ยินยอมให้ถอน เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้ว จำเลยทุกคนขอถอนคำให้การเดิมและรับว่าได้ทำการฉุดคร่าห์นางสาวปิ่นไป เพื่อการอนาจารจริงแต่ปฏิเสธในข้อหาฐานพยายามฆ่าคน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทุกคนผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๗๖ กะทงเดียว ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เป็นความผิดต่อส่วนตัวนายเคลิ้มบิดามีอำนาจถอนคำร้องทุกข์ได้ จึงเป็นอันระงับไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่านายนาคจำเลยผิดฐานข่มขืนชำเราด้วย
นายนาคจำเลยฎีกาว่า นายเคลิ้มบิดาผู้เสียหายมีอำนาจถอนคดีได้
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้นางสาวปิ่นผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานด้วยตนเอง จนมีการสอบสวนและอัยการได้ดำเนินการฟ้องร้องแล้วที่ที่นายเคลิ้มผู้เป็นบิดาจะถอนคำร้องทุกข์ก็ได้ความว่า นายเคลิ้มได้รับเงินของจำเลยไว้ ๒,๐๐๐ บาท ต้องการจะให้นางสาวปิ่นผู้เสียหายแต่งงานกับจำเลย แต่นางสาวปิ่นไม่สมัครใจ มีความประสงค์ยืนยันที่จะเอาโทษจำเลยในการที่ได้ล่วงกระทำผิดแก่ตนจนเป็นที่เสียหาย ประโยชน์ของบุคคลทั้งสองจึงขัดกัน ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ตามรูปเรื่องแห่งคดี นางสาวปิ่นผู้เสียหายแม้จะเป็นผู้เยาว์ ก็มีอายุในเวลานั้น ๑๗-๑๘ ปี อีกทั้งผลประโยชน์ของนายเคลิ้มซึ่งมีอำนาจจัดการแทนนางสาวปิ่นก็ขัดกัน ฉะนั้นสำหรับคดีนี้จึงเห็นว่านายเคลิ้มบิดานางสาวปิ่นผู้เยาว์หามีอำนาจที่จะถอนคำร้องทุกข์ที่นางสาวปิ่นได้ยื่นไว้โดยขัดขืนฝืนความประสงค์ของนางสาวปิ่นได้ไม่
ข้อเท็จจริง เห็นว่านายนาคจำเลยได้กระทำผิดจริง จึงพิพากษายืน