โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่  1  โจทก์ได้โอนที่ดินสองแปลงให้จำเลยที่  1  ในระหว่างสมรส ต่อมาจำเลยที่  1  และจำเลยที่  2  ได้สมยอมกันแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานให้โอนขายที่ดินทั้งสองแปลงนั้นให้แก่จำเลยที่  2  โดยโจทก์ผู้เป็นสามีมิได้ยินยอม ที่ดินทั้งสองแปลงนั้นเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่  1  การโอนขายระหว่างจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะ โจทก์ได้บอกล้างไปยังจำเลยที่  2  และให้จำเลยที่  2  โอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่  2  ก็เพิกเฉยเสีย ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่  2  โอนที่ดินกลับไปให้จำเลยที่  1  เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิม
จำเลยที่  1  ให้การว่า โจทก์ได้โอนที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่  1  เป็นสินส่วนตัว จำเลยที่  1  มีอำนาจจัดการโดยลำพังตนเองโจทก์ได้รู้เห็นให้ความยินยอม และได้ทราบถึงการทำนิติกรรมขายที่ดินนับแต่วันโอนถึงวันบอกล้างเกินกว่า  1  ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง
จำเลยที่  2  ให้การว่า ได้รับโอนที่ทั้งสองแปลงมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและด้วยความเห็นชอบและยินยอมจากโจทก์แล้ว และที่ดินนี้เป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่  1  คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยที่  1  เป็นสินส่วนตัว จำเลยที่  1  จึงมีอำนาจโอนขายให้จำเลยที่  2  โดยมิต้องรับความยินยอมจากโจทก์การซื้อขายมิได้เกิดจากการสมยอม โจทก์ได้รู้เห็นในการขายนั้นและมาบอกล้างเมื่อพ้นปีหนึ่งคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยที่ 1 นั้น การจดทะเบียนโอนที่พิพาทมิได้มีข้อความระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวการให้นั้นก็ต้องถือเป็นการให้ตามธรรมดาเท่านั้น ทรัพย์สินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสอันเป็นสินบริคณห์ระหว่างจำเลยที่ 1  กับโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1462 ดังนัยฎีกาที่ 325/2498  การที่จำเลยที่ 1 เอาไปทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2  โดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ การโอนขายนั้นจึงเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 38  โจทก์ผู้เป็นสามีจะบอกล้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 วรรค 2 แต่โจทก์จะต้องบอกล้างเสียภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่อาจจะให้สัตยาบันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143  โจทก์ได้รู้ถึงการโอนขายที่พิพาทมาถึง 3 ปีเศษแล้วมิได้บอกล้าง การซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองจึงสมบูรณ์ผูกมัดสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1  โจทก์จะฟ้อง  ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองหาได้ไม่
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์