โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง903,690 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 900,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานจำเลย ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ให้งดสืบพยานจำเลย และนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ต้องไม่เกิน 3,690 บาท
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาโดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การยื่นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยจะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์หรือไม่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติว่า การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับเฉพาะกรณีอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น ทั้งอุทธรณ์ของจำเลยก็ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โดยให้มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้สืบพยานต่อไป จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์เช่นเดียวกัน เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาข้างต้นจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว"
พิพากษายืน