โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2510เวลากลางคืนจำเลยบังอาจพรากนางสาวพวงทอง จันทนยิ่งยง ผู้เยาว์อายุ17 ปีไปเสียจากนางจุน จันทนยิ่งยง ผู้เป็นมารดา และนางสาวเรณูจันทนยิ่งยง ผู้เป็นพี่สาวผู้ปกครอง เพื่อการอนาจาร โดยนางสาวพวงทองเต็มใจไปด้วย เหตุเกิดที่ตำบลบางยี่เรือ อำเภอธนบุรี จังหวัดธนบุรีขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการพรากผู้เยาว์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาว่า การกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นการพรากผู้เยาว์หรือไม่
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วว่า วันเกิดเหตุนางสาวพวงทอง จันทนยิ่งยง ผู้เสียหายทะเลาะกับน้อง ถูกมารดาตีและไล่ให้ออกจากบ้าน ผู้เสียหายได้หลบหนีออกจากบ้านมาเอง จำเลยมาพบผู้เสียหายที่วงเวียนใหญ่ได้พูดกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ตอบเข้าใจว่าเป็นใบ้ จึงพามาสถานีตำรวจบางยี่เรือ และได้เขียนหนังสือถามชื่อ ที่อยู่ และอายุ ผู้เสียหายก็ไม่ยอมบอก จำเลยมิได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว ในที่สุดจำเลยได้นำผู้เสียหายไปฝากไว้กับนางลัดดาพี่สาวจำเลย แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจของจำเลยที่จะคุ้มครองป้องกันอันตรายทั้งหลาย อันผู้เสียหายเป็นหญิงสาวจะพึงได้รับในภาวะเช่นนั้น จนกระทั่งนางสาวสมศรีพี่สาวผู้เสียหายไปรับตัวไปจากบ้านนางลัดดา เห็นว่าการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล นั้นหมายความว่า พาไป หรือ แยกผู้เยาว์ออกจากความดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ที่จะมีการพรากได้อยู่ที่ผู้เยาว์ต้องอยู่ในความปกครองดูแลของผู้หนึ่งผู้ใดของบุคคลดังกล่าวแล้วในขณะที่พราก แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มีว่า นางสาวพวงทองได้ถูกมารดาตีและไล่ออกจากบ้านนางสาวพวงทองจึงหนีออกจากบ้านมา เมื่อนางสาวพวงทองได้พบกับจำเลย จำเลยได้ถามถึงที่อยู่ นางสาวพวงทองก็ไม่ยอมบอก จำเลยจึงได้พานางสาวพวงทองไปฝากไว้กับนางลัดดาพี่สาวของจำเลยการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นการพรากนางสาวพวงทองไปเสียจากผู้ปกครอง และศาลอุทธรณ์ได้ฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า การกระทำของจำเลยแสดงถึงความคุ้มครองป้องกันภยันตรายซึ่งนางสาวพวงทองจะพึงได้รับ จนกระทั่งนางสาวสมศรีพี่สาวมารับนางสาวพวงทองจากบ้านนางลัดดากลับไป เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดนั้น ชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์