โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 282 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 4, 9, พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 4, 6, 52 ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก วรรคสอง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 4 (ที่ถูก ไม่ต้องระบุมาตรา 4), 9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (ที่ถูก มาตรา 6 (1)), 52 วรรคหนึ่ง วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจาร ฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไป ซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีแม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม และฐานค้ามนุษย์ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานค้ามนุษย์ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี และความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงซึ่งอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจาร ฐานเป็นธุระจัดหาเพื่อให้บุคคลซึ่งอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีกระทำการค้าประเวณีแม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม กับฐานค้ามนุษย์ซึ่งกระทำการแก่บุคคลซึ่งอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่ถึงสิบแปดปี เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นธุระจัดหาเพื่อให้บุคคลซึ่งอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีกระทำการค้าประเวณีแม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 9 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ปรับบทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20 ที่ให้ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่เลือกลงโทษจำคุกจำเลยเพียงสถานเดียวได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (7) ที่บัญญัติว่า คำพิพากษาต้องมีบทมาตราที่ยกขึ้นปรับ ซึ่งหมายความรวมถึงบทมาตราที่ยกเว้นโทษหรือบทมาตราที่เป็นคุณแก่จำเลยในการลงโทษด้วย เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20 เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจในกรณีบรรดาความผิดที่กฎหมายกำหนดให้ลงโทษจำคุกและปรับ ถ้าศาลเห็นสมควรก็อาจใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยเพียงสถานเดียว โดยไม่ลงโทษปรับด้วยก็ได้ มิใช่บทบัญญัติที่กฎหมายบัญญัติเป็นบทความผิดหรือบทกำหนดโทษ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ปรับบทดังกล่าวแล้วลงโทษจำคุกจำเลยเพียงสถานเดียว ก็ไม่เป็นเหตุให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (7) ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน