โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 135/1, 209, 210, 217, 288, 289, 340, 340 ทวิ, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 55, 72, 72 ทวิ, 78 ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 150,000 บาท แก่ทายาทของผู้ตายที่ 1
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) ประกอบมาตรา 86, 83, 209 วรรคแรก การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 ปี ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 3 ปี ถ้อยคำรับของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในชั้นซักถามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 6 ปี 9 เดือน คำให้การจำเลยที่ 3 ชั้นสอบสวนและถ้อยคำรับชั้นซักถามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 ปี ริบปลอกกระสุนปืน ขนาด 5.56 มิลลิเมตร ปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มิลลิเมตร LUGER ชิ้นส่วนลูกกระสุนปืน ชิ้นส่วนขวดพลาสติกเผาไหม้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อออปโป้ หมายเลข 08 8776 xxxx โทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อซัมซุง หมายเลข 08 6481 xxxx และซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 08 8792 xxxx คืนซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 06 2205 xxxx แก่เจ้าของ ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) วรรคสอง, 217, 288, 289 (4), 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 55, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง, 78 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กับฐานร่วมกันมีและใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน คำให้การของจำเลยทั้งสามในชั้นซักถามเบื้องต้น และในฐานะพยานและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 คงจำคุกในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนคนละตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 8 เดือน และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 4 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทง (รวมทั้งโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น) แล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิตเพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคณะบุคคลใช้ชื่อขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย แบ่งแยกราชอาณาจักรและเพื่อยึดอำนาจการปกครองในส่วนของจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และพื้นที่ในจังหวัดสงขลาบางส่วน แล้วจัดตั้งเป็นประเทศหรือรัฐขึ้นใหม่ที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 มีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 9 มิลลิเมตร ยิงนายปกรณ์ ผู้ตายที่ 1 และร่วมกันใช้อาวุธปืนเล็กกล ขนาด .223 (5.56 มิลลิเมตร) ยิงนายอุสมาน ผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 23, 24 และ 28 มีนาคม 2560 มีการจับกุมจำเลยทั้งสามตามหมายจับคดีอาญา ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาว่า ร่วมกันก่อการร้าย พยายามฆ่าผู้อื่น ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ปล้นทรัพย์ วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร กระทำการเป็นอั้งยี่และซ่องโจร จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสามเช่นเดียวกับในชั้นจับกุม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับว่า ตนทำหน้าที่ดูต้นทางให้แก่กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุจริง แต่ไม่ทราบว่ากลุ่มคนร้ายได้กระทำความผิดข้อหาใดบ้าง พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนแล้ว ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ส่งปลอกกระสุนปืน ลูกกระสุนปืน และชิ้นส่วนกระสุนปืนของกลางไปตรวจพิสูจน์ ปรากฏว่าเป็นเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมาย ปลอกกระสุนปืนเล็กกล ขนาด 5.56 มิลลิเมตร 15 ปลอก เป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ใช้ยิงมาจากปืนกระบอกเดียวกันและตรวจพบว่าเคยใช้ยิงมาจากปืนกระบอกเดียวกับคดีที่มีประวัติเก็บไว้ในสารบบของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 รวม 3 คดี ปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มิลลิเมตร 5 ปลอก เป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนสามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ใช้ยิงมาจากปืนกระบอกเดียวกันและตรวจพบว่าใช้ยิงมาจากปืนกระบอกเดียวกับคดีที่มีประวัติเก็บไว้ในสารบบของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 รวม 11 คดี ส่งชิ้นส่วนขวดพลาสติกเผาไหม้ไปตรวจพิสูจน์พบคราบน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดน้ำมันดีเซลติดอยู่ ตรวจหาสารพันธุกรรมจากผ้าขนหนูสีฟ้าซึ่งตรวจยึดจากช่องเก็บของภายในรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ฬบบ กรุงเทพมหานคร 329 พบสารพันธุกรรมแบบเดียวกับของจำเลยที่ 1 แพทย์ทำการตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายทั้งสองแล้วทำรายงานผลการตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายทั้งสองไว้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฐานร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน (ที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืน ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสามกับนายอับดุลฮากัมร่วมกันวางแผนเพื่อทำการก่อการร้ายเลือกเป้าหมายร้านที่เกิดเหตุ โดยนายอับดุลฮากัมแจ้งว่า จะเป็นผู้หามือปืนเข้าก่อเหตุ แม้จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นผู้ถืออาวุธปืนดังกล่าวติดตัว และไม่ทราบว่าคนร้ายคนใดมีอาวุธปืนชนิดใดติดตัวเข้าไปในที่เกิดเหตุ และคนร้ายคนใดเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสองก็ตาม แต่จำเลยทั้งสามก็ย่อมคาดหมายได้ว่านายอับดุลฮากัมกับกลุ่มคนร้ายที่เข้าไปก่อเหตุ ย่อมจะต้องเตรียมอาวุธปืนหรืออาวุธประเภทอื่นติดตัวมาใช้ก่อเหตุตามที่นายอับดุลฮากัมเคยแจ้งให้ทราบ ประกอบกับจำเลยทั้งสามต่างก็เป็นสมาชิกของขบวนการก่อการร้าย เคยเข้าร่วมปฏิบัติการก่อเหตุความไม่สงบมาก่อนย่อมทราบดีว่า การก่อเหตุความไม่สงบในลักษณะนี้จะต้องมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีหรือใช้ และพาอาวุธปืน การกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน (ขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร) ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ และฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน (ขนาด 9 มิลลิเมตร) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กับฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรอีกกระทงหนึ่ง แต่ในส่วนที่เป็นความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้กับฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติบทความผิดและบทลงโทษไว้ในมาตราเดียวกัน ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะให้ความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นกรรมเดียวกัน ส่วนความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ตามมาตรา 78 วรรคสาม เป็นบทหนักสำหรับผู้กระทำความผิดฐานใช้อาวุธปืนดังกล่าว หากนำไปใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 มาตรา 313 มาตรา 337 มาตรา 339 หรือ มาตรา 340 ดังนั้น เมื่อฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามเป็นตัวการร่วมกันมีและร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าว (ขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร) เพื่อประสงค์อันเดียวกันในการร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 โดยร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวต่อเนื่องจากการร่วมกันมีอาวุธปืนชนิดนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานฆ่าผู้ตายที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2480 มาตรา 7 นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 9 มิลลิเมตร ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ 1 กระบอก เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไม่สามารถยึดอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของกลาง กรณีต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสามว่า อาวุธปืนที่จำเลยทั้งสามมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น เป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้ ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาการปรับบทดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาชอบที่จะหยิบยกขึ้นเพื่อแก้ไขโดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9