โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าร่วมทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน ๕๐๒,๙๕๗.๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่เกิดเหตุขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย โจทก์สมัครเข้ารับราชการตำรวจโดยรู้อยู่แล้วว่าต้องฝึกภาคสนามซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้โจทก์ยอมเสี่ยงเข้ารับภัยเอง เมื่อเกิดเหตุจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ จำเลยจึงไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์เสียหายไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ร่วมกันชำระเงิน ๔๓๐,๙๕๗.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๒๐,๐๐๐ บาท ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้ยกค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่กล่าวแล้วให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ฎีกาในข้อแรกว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบสิบตำรวจเอกธนวัฒน์ สิมสวัสดิ์ จำเลยที่ ๓ พลฯ บรรจง บุตรผล พลฯ รัชตะ งามสงวน และพลฯ วิบูลย์ ชำนิงาน พยานซึ่งอยู่ใกล้ชิดที่เกิดเหตุเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพยานเหล่านี้กับสิบตำรวจตรีสุระทัย วิชาผงสิบตำรวจโทบรรเลง พรหมมิน พยานที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ นำเข้าสืบแล้วกับตัวจำเลยที่ ๑ เป็นพยานคู่กัน การที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ จะนำพยานเหล่านี้เข้าสืบอีกจึงไม่จำเป็น และเป็นการฟุ่มเฟือยเพราะยืมไปก็ได้ความเหมือนกับที่ จำเลยที่ ๑ กับพวกเบิกความมาแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การของสิบตำรวจเอกธนวัฒน์ พลฯ บรรจง และพลฯ รัชตะในสำนวนสอบสวนเพื่อพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยแก่จำเลยที่ ๑ ว่าพยานเหล่านี้ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่มารู้เห็นเมื่อเกิดเหตุแล้ว การที่จะสืบพยานเหล่านี้ไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๕ แต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานเหล่านี้จึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ข้อที่กรมตำรวจจำเลยที่ ๕ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๕ ไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ ๑ นั้น คดีฟังข้อเท็จจริงได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร ๔ ของจำเลยที่ ๕ ทางราชการกรมตำรวจมีคำสั่งบรรจุแต่งตั้งให้โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นพลตำรวจสำรอง การฝึกชัยยะของนักเรียนพลตำรวจเป็นไปตามคำสั่งของจำเลยที่ ๕ เพื่อวัตถุประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจเรื่องการใช้อาวุธต่อสู้ปราบปรามผู้ก่อการร้ายและรักษาความสงบภายใน กับเพิ่มพูนสมรรถภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามนโยบายของจำเลยที่ ๕ ดังนี้เห็นได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๕ การฝึกชัยยะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ในฐานะนักเรียนพลตำรวจตามคำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ ๕ เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ ๑ ทำละเมิดในหน้าที่การงาน กรมตำรวจ จำเลยที่ ๕ แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิดและมิได้เป็นลูกจ้าง นายจ้างหรือตัวแทนดังที่ฎีกาก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นด้วย ทั้งนี้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖
ข้อที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ฎีกาว่า ค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องเปลี่ยนท่อปัสสาวะพร้อมถุงพลาสติกและค่าสินไหมทดแทนกรณีโจทก์ต้องทนทุกข์เวทนาที่ต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปตลอดชีวิต หมดความรู้สึกทางเพศ และเสียความสามารถในการสืบพันธุ์ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์สูงเกินสมควรเพราะไม่คำนึงถึงฐานะและรายได้ของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ลั่นขึ้นและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่งตามมาตรา ๔๔๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป กับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ บัญญัติไว้ได้การวินิจฉัยถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายดังกล่าวไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าจะต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้ต้องเสียหายด้วย ดังนี้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในปัญหาที่กล่าวจึงไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งจำนวนเงินที่กำหนดให้ก็มิได้สูงเกินสมควรดังที่ฎีกา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.