โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 44986 ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 245
จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2551 จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโฉนดเลขที่ 44986 ไว้แก่นางสาวศิริพร ในราคา 4,760,000 บาท มีกำหนดเวลาไถ่ถอน 1 ปี และโจทก์ทำหนังสือให้ความยินยอมขายฝากดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 วันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนไถ่ถอนจากขายฝากแล้วจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 รับมอบอำนาจให้ดำเนินการแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งการทำนิติกรรมซื้อขายของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวโจทก์ไม่ได้มาให้ความยินยอม ในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทคืนแก่จำเลยที่ 1 ในราคา 6,880,000 บาท วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยาขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท ศาลจังหวัดพัทยาพิพากษายกฟ้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1519/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 1533/2556 คดีถึงที่สุด วันที่ 1 มีนาคม 2560 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต่อศาลจังหวัดพัทยาขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.229/2560 วันที่ 4 เมษายน 2560 จำเลยที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยาขอให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารให้ออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 ศาลจังหวัดพัทยามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.229/2560 และมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องสอดเข้าไปเป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ นอกจากนั้น คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา คู่ความท้ากันให้ถือเอาผลคดีนี้เป็นข้อแพ้ชนะ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีดังกล่าวไว้ชั่วคราว ตามรายงานกระบวนพิจารณาศาลจังหวัดพัทยา ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2560
พิเคราะห์แล้วที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 แก้ฎีกาอ้างว่า คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2562 เป็นสำเนาเอกสารทางโทรสาร มิใช่ต้นฉบับที่ยื่นมาพร้อมกับฎีกา เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับก็ล่วงเลยกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้วจึงเป็นการไม่ชอบ เห็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ปฏิเสธความมีอยู่และความแท้จริงแห่งเอกสารดังกล่าว ทั้งคำสั่งของศาลฎีกาที่อนุญาตให้โจทก์ฎีกาก็หาได้มีข้อผิดระเบียบอย่างใดไม่ คำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาตามฎีกาโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาที่ว่า ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยาหรือไม่ เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา จำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทและเรียกค่าเสียหายอ้างว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และจำเลยที่ 1 ตกลงจะซื้อคืนโดยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระราคาและรับโอนกรรมสิทธิ์ สัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นอันเลิกกัน จำเลยที่ 1 ยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท จึงเป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 2 เสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินใช้กรรมสิทธิ์ติดตามและเอาคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินของตนจากจำเลยที่ 1 ผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตลอดจนสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินที่จะใช้สอยทรัพย์สินนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ส่วนคำร้องสอดของโจทก์ที่ยื่นเข้าไปขณะคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาอ้างว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอม และจำเลยที่ 2 กับสามีซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีนี้กระทำการโดยไม่สุจริต โดยมีคำขอให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 เห็นได้ชัดว่าคำร้องสอดของโจทก์ตั้งข้อพิพาทเป็นปฏิปักษ์กับทั้งจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์และจำเลยในคดีดังกล่าว มีผลให้คดีตามคำร้องสอดของโจทก์มีลักษณะเป็นคำฟ้องที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลแล้ว แม้ศาลจังหวัดพัทยาจะจำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลในคดีนี้ ก็ถือว่าคดีตามคำร้องสอดของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดพัทยา การที่โจทก์ยื่นคำฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ โดยมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องเดียวกันกับคดีที่โจทก์ยื่นคำร้องสอดเข้าไปในคดีหมายเลขดำที่ 338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา ซึ่งมีลักษณะเป็นคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น