โจทก์ฟ้องเป็นอาญาสินไหมว่า  จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน  และนางเยื้องจำเลยที่ ๒  เป็นน้องสาวนางยอมภริยาโจทก์  เมื่อเดือน ๔ พ.ศ. ๒๕๐๑  วันใดจำไม่ได้  เวลากลางวัน  โจทก์กับนางยอมเอาเงินของโจทก์ ๕๐,๐๐๐ บาท  ไปฝากจำเลยทั้งสอง  จำเลยทั้งสองได้รับเก็บไว้ในหีบเหล็กและครอบครองดูแลรักษาไว้ให้โจทก์  และมอบลูกกุญแจแก่โจทก์ ๒ ลูก  ต่อมาวันขึ้น ๘ ค่ำ  เดือน ๔ พ.ศ. ๒๕๐๓  โจทก์ไปเอาเงินที่ฝากจำเลย ๒๐,๐๐๐ บาท  รวมกับเงินที่อยู่ที่โจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท  ไปถวายพระวิสุทธิพรหมจรรย์เพื่อสร้างกุฏิยังไม่พอ  ขาดอีก ๑๐,๐๐๐ บาท  โจทก์จึงขอถวายเพิ่มเติม  ครั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๕๐๓  โจทก์ไปเอาเงินที่ยังเหลือฝากจำเลยไว้อีกนั้น  จำเลยไม่ให้เอาหีบเหล็กที่ใส่เงินไว้ไปเสีย  จึงทราบว่าจำเลยทั้งสองเบียดบังยักยอกเอาเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท  ของโจทก์ไปโดยเจตนาทุจริต  เหตุเกิดที่ตำบลโคกกลอย  อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘, ๘๓  ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองปฏิเสธว่า  ไม่เคยรับฝากเงินของโจทก์  โจทก์และนางยอมไม่เคยเอามาฝาก  วันเดือน ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๓  โจทก์ไม่เคยเอาเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท  หีบเหล็กของจำเลย  นางยอมเอาไปจากจำเลยกว่า ๕ ปีแล้ว ไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  เชื่อว่าโจทก์กับนางยอมภริยาเอาเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทไปฝากจำเลยทั้งสองจริง  โจทก์เอาคืนมาแล้ว ๒๐,๐๐๐ บาท  ยังเหลืออีก ๓๐,๐๐๐ บาท  และฟังว่านางยอมเอาเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทนั้นไป  ไม่ได้ความว่าจำเลยเบียดบังหรือร่วมกันให้นางยอมเอาเงินนั้นไป  จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์  พิพากษายกฟ้องโจทก์  ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษและบังคับจำเลยคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  รูปคดียังฟังไม่ได้ว่า  โจทก์ได้ฝากเงินจำเลย  จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยยักยอกหรือไม่  พิพากษายืนในข้อให้ยกฟ้องโจทก์  ให้โจทก์ใช่ค่าทนายขั้นอุทธรณ์ ๓๐๐ บาทแทนจำเลย
โจทก์ฎีกาว่า  พยานโจทก์พอฟังลงโทษจำเลยได้  ขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยและให้จำเลยใช้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาท  และค่าธรรมเนียม  ค่าทนาย  รวม ๓ ศาลแก่โจทก์  โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาอนุญาตให้ฎีกาได้
ศาลฎีกาได้ส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง  แต่ปรากฏว่านายปาน  ทวีการ  โจทก์ตายเสียก่อน  พระครูอนุศาสน์วิษิษฐ์  ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น  ในวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๐๖  ว่าเป็นผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของผู้มรณะ  ซึ่งศาลชั้นต้นได้ส่งมาให้ศาลฎีกาสั่ง  แต่ศาลฎีกาเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวไม่แจ้งชัดว่าผู้ร้องประสงค์จะรับทรัพย์มรดกหรือมรดกความ  จึงสั่งให้ศาลชั้นต้นสอบถาม  ศาลชั้นต้นสอบถามแล้ว  ผู้ร้องมีความประสงค์ขอรับมรดกความ  ศาลชั้นต้นจึงได้ไต่สวนพยานผู้ร้องตามมาตรา ๔๓ วรรค ๒  แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยสั่งไปแล้วว่า  ผู้ร้องรับมรดกความได้แต่ในส่วนแพ่ง  ในส่วนอาญานั้น  ผู้ร้องมิใช่บุคคลตามที่มาตรา ๒๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาระบุไว้  จึงไม่มีสิทธิที่จะดำเนินคดีในส่วนอาญาต่างผู้ตายต่อไปได้  จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องรับมรดกความได้แต่ในส่วนแพ่ง
ส่วนเรื่องที่โจทก์ตายภายหลังที่ศาลได้ส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง  เช่นนี้  ศาลฎีกาจะดำเนินคดีอันเกี่ยวกับความผิดอันยอมความได้ต่อไปหรือไม่  สำหรับปัญหาข้อนี้  ศาลฎีกาได้ปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า  คดีนี้  ถึงแม้จะเป็นความผิดอาญาอันยอมความกันได้  และโจทก์ได้ตายแล้วก็ตาม  แต่หาได้มีกฎหมายบัญญัติว่าในคดีอาญานั้น  เมื่อโจทก์ตายแล้วให้คดีระงับไปไม่  คงมีแต่ในเรื่องที่จำเลยตาย  และในเรื่องที่ว่าเมื่อโจทก์ตาย  ใครบ้างที่จะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้  ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๙ เท่านั้น  แต่เมื่อคดีมาถึงศาลฎีกาแล้วและโจทก์ตาย  เมื่อได้ดำเนินคดีมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้วเช่นนี้  ศาลฎีกาย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ในส่วนอาญาต่อไปได้
ซึ่งเมื่อศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว  เชื่อเป็นความจริงว่า  จำเลยทั้ง ๒ ได้กระทำผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง  จึงพิพากษากลับกว่าจำเลยทั้งสองผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๘๓  จำคุกไว้คนละ ๑ ปี  ร่วมกันใช้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์  ให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนาย ๓ ศาล ๖๐๐ บาทแก่โจทก์  ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษมาก่อน  ให้รอการลงโทษจำคุกไว้กำหนด ๓ ปี  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖