ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 และ 289, 80 ลงโทษตามมาตรา 289 อันเป็นบทหนัก จำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 80 และ มาตรา 289 จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อเวลาใกล้ค่ำของวันที่ 6 สิงหาคม 2524 นายจำเนียร คำเต็ม นายไฉน พุฒตรง นายมีหรือบุญมีปันทะอิน กันคำ และสิบเอกเสงี่ยม คำชุ่มได้ไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารและดื่มสุรากันที่ร้านของนายสวาท จันต๊ะโมกข์ต่อมามีจำเลยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งมาร่วมโต๊ะด้วยจนถึงเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา ต่างมีอาการมึนเมาสุรา จำเลยกับนายมีหรือบุญมีเกิดผิดใจ ถึงกับเกิดการวิวาทชกต่อยกันขึ้น และในช่วงเวลาต่อมาได้มีคนใช้อาวุธปืนยิงขึ้นหลายนัด กระสุนปืนถูกนายมีหรือบุญมีรับอันตรายแก่กายถึงสาหัส และถูกสิบเอกเสงี่ยมถึงแก่ความตาย วันรุ่งขึ้นจากคืนเกิดเหตุเจ้าพนักงานไปยึดได้อาวุธปืนลูกซองยาว 5 นัดซุกซ่อนอยู่ใต้ถุนบ้านจำเลยเป็นของกลางและต่อมาในวันที่ 10 เดือนเดียวกันนั้นเองเจ้าพนักงานจับกุมกล่าวหาจำเลยกระทำความผิดนี้ขึ้น
โจทก์นำสืบว่า เมื่อจำเลยกับนายมีหรือบุญมีเกิดวิวาทกัน นายไฉนเข้าห้ามแยกคนทั้งสอง จำเลยกับเพื่อนที่มาด้วยพากันออกจากร้านไปจำเลยหายไปประมาณ 10 นาที ย้อนกลับมาใหม่พร้อมด้วยอาวุธปืนลูกซองยาว 5 นัด เข้ามายืนยิงใส่กลุ่มผู้เสียหายกับผู้ตาย 3 - 4 นัด แล้วผละหนีไป ชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพ
จำเลยนำสืบว่า ขณะจำเลยกับนายมีหรือบุญมีเกิดวิวาทก็ถูกพวกผู้เสียหายชกต่อยและเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ถูกข้อมือจำเลย พร้อมกันนั้นมีชายคนหนึ่งถือปืนเข้าหาจำเลยร้องสำทับจะยิงซ้ำ จำเลยจึงเข้ายื้อแย่งปืนกระสุนปืนลั่นขึ้นหลังคา 1 นัด ไฟฟ้าดับ จึงถือโอกาสหลบออกนอกร้านอาศัยรถจักรยานยนต์เพื่อนที่มาด้วยกันหลบหนีไปทำบาดแผลที่โรงพยาบาลในค่ายทหาร เมื่อถูกจับตำรวจได้ทำร้ายบังคับให้รับสารภาพ
พิเคราะห์แล้วปัญหาว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย และผู้ตายขณะเกิดเหตุหรือไม่ โจทก์มีนายจรูญ นายจำเนียร นายไฉน และนายมีหรือบุญมีพยานในที่เกิดเหตุเบิกความต้องกันว่า หลังจากนายไฉนแยกจำเลยกับนายมีหรือบุญมีจากการวิวาทชกต่อยกันแล้ว จำเลยกับเพื่อนที่มาด้วยกันออกจากร้านหายไปประมาณ 10 นาที จำเลยย้อนกลับมาที่ร้านอีกครั้งพร้อมด้วยอาวุธปืนยาวในมือ จำเลยเข้ามายืนอยู่ที่หน้าร้านห้างโต๊ะที่พวกพยานและผู้ตายนั่งอยู่ประมาณ 5 เมตร ทันทีที่จำเลยมาถึงก็ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มพวกพยานและผู้ตาย 3 - 4 นัดซ้อน ๆ เห็นว่า ขณะที่เกิดเหตุที่ร้านมีแสงไฟฟ้าภายในร้านและหน้าร้านสว่าง จำเลยเข้าไปยิงในระยะใกล้จำเลยเองก็รับว่าขณะเสียงปืนดังก็อยู่ในที่เกิดเหตุ หากแต่อ้างไปว่าผู้ที่ใช้ปืนยิงเป็นชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใช้อาวุธยิงจำเลยขณะที่จำเลยถูกพวกผู้เสียหายรุมทำร้าย ซึ่งเป็นการนำสืบพัวพันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เห็นว่า หาเป็นจริงดังจำเลยอ้างก็ไม่มีเหตุที่จำเลยต้องหลบหนีและไปถูกเจ้าพนักงานจับในท้องที่เขตอำเภอเมืองน่าน จำเลยน่าจะเข้าหาหรือแจ้งความต่อเจ้าพนักงานทันทีเมื่อมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับตน พยานโจทก์แต่ละคนไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน โดยเฉพาะนายไฉนพยานโจทก์ที่เป็นคนเรียกชวนจำเลยกับเพื่อนของจำเลยให้ร่วมวงรับประทานอาหารและดื่มสุรา พยานโจทก์ดังกล่าวต่างเบิกความยืนยันต้องกันว่า นายไฉนเป็นผู้ห้ามปรามแยกการวิวาทระหว่างจำเลยกับนายมีหรือบุญมีที่เกิดขึ้น เหตุมีการยิงกับเหตุการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นคนละตอน เกิดเหตุแล้วพวกผู้เสียหายก็ได้ระบุจำเลยเป็นผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิง ชั้นจับกุมพันตำรวจตรีบุญทรง สิขะมณฑล ผู้ร่วมจับกุมจำเลย พันตำรวจตรีกิจจา เศรษฐวณิชย์ พนักงานสอบสวน ต่างเบิกความยืนยันว่า จำเลยรับสารภาพโดยตลอด ข้ออ้างจำเลยว่าถูกเจ้าพนักงานทำร้ายขู่บังคับให้รับสารภาพ เห็นว่าเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและผู้ตายขณะเกิดเหตุจริง พยานจำเลยไม่อาจฟังหักล้างได้ การที่จำเลยมีเรื่องวิวาทต่อยกับผู้เสียหายที่ร่วมโต๊ะ แล้วกลับไปเอาอาวุธปืนย้อนกลับมายิงกราดผู้เสียหาย ผู้ตายกับพวกหลังจากนั้นประมาณ 10 นาที เห็นว่า มีเวลาพอที่จะได้สติคิดพิจารณาไตร่ตรองแล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่ามีการไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน