โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสุวรรณ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 264 วรรคแรก, 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 9 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก, 83 จำคุกคนละ 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ฎีกา
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการนำหนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ร่วม คำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและรายการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนตามเอกสารหมาย ป.จ. 2 ไปยื่นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้จดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมผู้เป็นหุ้นส่วนและหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. สหการโยธา โดยเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการจากโจทก์ร่วมเป็นจำเลยที่ 1 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทดังกล่าวได้ดำเนินการจดทะเบียนให้เสร็จสิ้นแล้ว ต่อมาโจทก์ร่วมร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ พนักงานสอบสวนส่งเอกสารหมาย ป.จ. 2 ดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกับลายมือชื่อของโจทก์ร่วม ผลการตรวจพิสูจน์ ผู้ชำนาญการตรวจพิสูจน์มีความเห็นว่า ลายมือชื่อตรงที่มีดอกจันสีแดงในเอกสารหมาย ป.จ. 2 กับลายมือชื่อของโจทก์ร่วมไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน
ที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดและลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารสิทธิตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 264 วรรคแรก, 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 9 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก, 83 จำคุกคนละ 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก จึงเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ซึ่งห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย...
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองคนละ 6,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7