คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 281,865.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ของต้นเงิน 254,400 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 มิถุนายน 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนติดต่อกันไป เดือนละไม่น้อยกว่า 2,700 บาท เริ่มชำระงวดแรกเดือนธันวาคม 2550 โดยจะนำเงินไปชำระที่ธนาคาร ก. บัญชีตามหมายเลขประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 และจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 9 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินที่ผิดนัดในแต่ละงวด จำเลยทั้งสี่ยอมชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืน 200 บาท ค่าทนายความ 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 1,700 บาท โดยจะนำเงินไปชำระที่ธนาคาร ก. พร้อมกับการชำระหนี้งวดแรก หากจำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 119 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดีและคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ยึดที่ดินดังกล่าว เนื่องจากกระบวนการขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและการออกหมายบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ตามคำขอฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2560 เป็นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีอื่น มิใช่คดีนี้ การที่ศาลสั่งให้หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นการสั่งไปโดยผิดหลงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จึงให้เพิกถอนคำสั่งหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีนี้เสีย
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและมีคำสั่งว่าหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนคำสั่งหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2550 ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา วันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี วันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ จากนั้นโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 119 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาสำนวนคดีถูกปลดเผา คงเหลือแต่สัญญาประนีประนอมยอมความ คำพิพากษาตามยอมและหมายบังคับคดี
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามมีว่า มีเหตุให้เพิกถอนหมายบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมแก่จำเลยทั้งสี่ได้ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีทั้งเป็นศาลที่มีอำนาจในการออกหมายบังคับคดีรวมตลอดถึงมีอำนาจในการทำคำวินิจฉัยชี้ขาดหรือทำคำสั่งในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับคำพิพากษาซึ่งจะขอให้มีการบังคับคดี จำนวนที่ยังไม่ได้รับชำระตามคำพิพากษาและวิธีการบังคับคดีซึ่งขอให้ออกหมายนั้น รวมตลอดถึงหมายเลขคดี ชื่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี และชื่อคู่ความทั้งหมดถูกต้องครบถ้วนตรงตามสำนวนคดีนี้ จึงเชื่อว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจสอบคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ และได้ออกหมายบังคับคดีโดยถูกต้องแล้ว ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสามอ้างว่า คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในสำนวนคดีนี้ เห็นว่า สำเนาคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นในสำนวนคดีนี้ จึงมีน้ำหนักน้อย ทั้งหากจะฟังว่าโจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีผิดพลาดไป ก็พอเข้าใจเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในสำนวนคดีนี้ มิใช่ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนคดีอื่น การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นใช้อำนาจออกหมายบังคับคดีตามข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้ว โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่งตอนท้ายบัญญัติให้ ศาลมีอำนาจสั่งตามที่เห็นสมควรได้ โดยไม่จำต้องสั่งยกคำขอหรือให้โจทก์แก้ไขคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเสียก่อน ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องเพิกถอน ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ