โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268, 341, 352 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 539,600 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหาย 145,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 (เดิม), 268 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 264 (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 265 (เดิม), 268 วรรคแรก ไม่มีประกอบมาตรา 264 (เดิม)), 341 (เดิม), 352 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันยักยอก จำคุกคนละกระทงละ 6 เดือน รวม 94 กระทง เป็นจำคุกคนละ 564 เดือน ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม และฐานร่วมกันยักยอก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐาน ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษ หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยทั้งสามเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและ ใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก) ประกอบมาตรา 265 (เดิม) แต่กระทง เดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคสอง) จำคุกคนละกระทงละ 6 เดือน รวม 112 กระทง เป็นจำคุกคนละ 672 เดือน ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม และฐานร่วมกันฉ้อโกง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและฐานร่วมกัน ใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยทั้งสามเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษฐาน ร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก) ประกอบมาตรา 265 (เดิม) แต่กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคสอง) จำคุกคนละกระทงละ 6 เดือน รวม 160 กระทง (ที่ถูก รวม 106 กระทง) เป็นจำคุกคนละ 636 เดือน รวมจำคุกคนละ 1,872 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 936 เดือน การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี คงให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (2) ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหาย 394,600 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในข้อหาร่วมกันยักยอกและร่วมกันฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จำหน่ายคดีข้อหาดังกล่าวออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 (เดิม), 268 วรรคแรก (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก), 341 (เดิม), 352 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของ จำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม และฐานร่วมกันยักยอก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก) ประกอบมาตรา 265 (เดิม) แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคสอง) จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 52 กระทง เป็นจำคุก 312 เดือน ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม และฐานร่วมกันฉ้อโกง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก) ประกอบมาตรา 265 (เดิม) แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคสอง) จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 57 กระทง เป็นจำคุก 342 เดือน ฐานร่วมกันยักยอก จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 42 กระทง เป็นจำคุก 84 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 738 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 (เดิม), 268 วรรคแรก (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก) ประกอบ มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก) ประกอบมาตรา 265 (เดิม) แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง (เดิม) (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคสอง) จำคุกคนละกระทงละ 6 เดือน รวม 109 กระทง เป็นจำคุก 654 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 369 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 และ ที่ 3 มีกำหนดคนละ 327 เดือน การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี คงให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 กับพวกเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายทำหน้าที่พนักงานจำหน่ายบัตรเข้าชมสถานที่และเก็บเงินค่าบัตรจากลูกค้าแต่จำเลยที่ 2 กับพวก ปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินอันเป็นเอกสารสิทธิในการรับชำระเงินที่ผู้เสียหาย ออกให้แก่บริษัทนำเที่ยวและปลอมใบสำคัญจ่ายอันเป็นเอกสารสิทธิในการชำระเงินที่บริษัทนำเที่ยวออกให้แก่ผู้เสียหาย และนำเอกสารสิทธิที่จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันปลอมขึ้น นั้นไปใช้แสวงหาประโยชน์โดยการฉ้อโกงและยักยอกเงินผู้เสียหายถึง 109 ครั้ง รวมทั้งร่วมกันยักยอกเงินที่จะต้องนำส่งผู้เสียหายที่จะได้รับจากบริษัทนำเที่ยวอีก 42 ครั้ง ต่อเนื่องกันรวมเป็นเงินจำนวนกว่า 500,000 บาท แสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์สุจริตของจำเลยที่ 2 และเป็นภัยร้ายแรงต่อผู้เสียหายและสุจริตชนโดยทั่วไป แม้จำเลยที่ 2 จะยอมความกับผู้เสียหายและมีการถอนคำร้องทุกข์ ก็มีผลเพียงแต่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในข้อหาฉ้อโกงและยักยอกระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) เท่านั้น แต่ความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมซึ่งจำเลยที่ 2 กับพวกกระทำนั้น หาได้ระงับไปด้วยไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในข้อหาฉ้อโกงและยักยอกระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ย่อมทำให้คำขอในส่วนแพ่งของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 คืนเงินแก่ผู้เสียหาย ตกไปด้วย โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 คืนเงินแก่ผู้เสียหายได้ จึงต้องยกคำขอในส่วนแพ่งของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เสียด้วย แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 คืนเงินแก่ผู้เสียหายของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8