โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยกับพวกได้ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ทำให้นายจงกลกับพวกได้โอกาสทุจริตเบิกเงินของโจทก์ไป  จึงขอให้จำเลยชดใช้
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑  ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นเห็นว่า  จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์  พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า  เหตุที่จะเกิดคดีนี้ขึ้นก็โดยนายจงกล  ภารโรงในกองยานพาหนะกับพวก  ได้ทุจริตปลอมใบสำคัญเบิกเงินค่าแรงงานโดยปลอมชื่อและลายมือชื่อคนงานซึ่งมิได้มีชื่ออยู่ในทะเบียนคนงานของโจทก์  และปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่กองควบคุมยานพาหนะที่จะต้องลงนามในเอกสารดังกล่าวทุกแห่ง  แล้วนำใบสำคัญดังกล่าวไปยื่นต่อแผนกบัญชี  หัวหน้าแผนกบัญชีได้ลงชื่อประทับตรารับรองว่าควรจ่ายเงินตามใบสำคัญนั้นได้  แล้วส่งใบสำคัญนั้นไปยังแผนกเงินเพื่อทำการจ่าย  เจ้าหน้าที่การเงินได้จ่ายเงินให้นายจงกลรับไป  หลังจากที่แผนกเงินจ่ายเงินไปแล้ว  ได้ส่งใบสำคัญกลับคืนแผนกบัญชีจึงได้คัดบัญชีที่จ่ายเงินไปแล้วตามใบสำคัญส่งไปยังแผนกควบคุม  กองยานพาหนะซึ่งจำเลยที่ ๒, ๓ เป็นเจ้าหน้าที่  เพื่อให้ยืนยันความถูกต้องในการนี้จำเลยที่ ๒ ได้ทำบัญชีแยกประเภทงานของแผนกประจำเดือน ช.ป. ๒๙ (ตามเอกสารหมาย จ.๑๔ ถึง จ.๑๙)  เสนอให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกควบคุมลงนามรับรองความถูกต้องร่วมกับจำเลยที่ ๒ แล้วแจ้งกลับไปยังแผนกบัญชีกองคลังตามระเบียบ  ต่อมาทางราชการทราบการทุจริตรายนี้  จึงได้ดำเนินคดีฐานฉ้อโกงกับนายจงกลและได้ฟ้องจำเลย  คดีนี้ให้รับผิดฐานละเมิดร่วมกับนายจงกล
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า  ตามระเบียบเจ้าหน้าที่แผนกบัญชีจะต้องตรวจสอบรายชื่อคนงานที่ปรากฏในใบสำคัญเบิกค่าแรงนั้น  กับทะเบียนรายชื่อคนงานที่กรมอนุมัติให้จ้างไว้เสียก่อน  เมื่อตรวจสอบถูกต้องแล้วจึงเสนอหัวหน้าแผนกบัญชีลงชื่อ  ประทับตรารับรองถูกต้องให้จ่ายเงินตามใบสำคัญนั้นได้  การทุจริตรายนี้หากเจ้าพนักงานแผนกบัญชีได้ตรวจสอบรายชื่อคนงานก็จะทราบได้ทันทีว่าใบสำคัญ  ขอเบิกค่าแรงตามเอกสารหมาย จ.๑ - จ.๑๓ นั้น  เป็นเอกสารปลอมและถ้าหากหัวหน้าแผนกบัญชีไม่ลงชื่อ  แผนกเงินก็จ่ายเงินดังกล่าวไม่ได้  เหตุสำคัญที่ทำให้การฉ้อโกงของนายจงกลสำเร็จลุล่วงไปอยู่ที่การกระทำของเจ้าหน้าที่แผนกบัญชีของโจทก์นี้เอง  นอกจากนี้ปรากฏว่าเมื่อหัวหน้าแผนกบัญชีรับรองใบสำคัญให้จ่ายเงินได้แล้ว ในตอนที่จะจ่ายเงินถ้าหากแผนกเงินจ่ายเงินตามระเบียบคือจ่ายเงินให้แก่คนงานต่อหน้าผู้นำรับเงินและถามชื่อสกุล  เลขประจำตัว  ตลอดจนอัตราค่าแรงของคนงานผู้รับเงินเสียก่อน  แล้วจึงจ่ายไป  การทุจริตรายนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จไปได้เลย  ศาลฎีกาจึงเห็นว่า  เพราะการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่  แผนกบัญชีและแผนกเงินกองคลังนี้เป็นผลโดยตรงให้การทุจริตฐานฉ้อโกงของนายจงกลสำเร็จผล  หาใช่เนื่องจากการกระทำของจำเลยตามฟ้องโจทก์ไม่  การที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓  ทำบัญชีแยกประเภทงานของแผนกประจำเดือนตามแบบ  ช.ป. ๒๙ (เอกสาร จ. ๑๔ ถึง จ. ๑๙)  ส่งไปยังแผนกบัญชีกองคลังทุกเดือน  ตามระเบียบของโจทก์ซึ่งมีความประสงค์จะทราบจำนวนเงินรายจ่ายและคงเหลืออยู่  และการที่จำเลยที่ ๒  และที่ ๓  ลงชื่อในเอกสาร  จ.๓๓  ถึง จ. ๓๘ คืนไปยังแผนกบัญชีเพื่อรับรองว่าเงินที่จ่ายไปนั้นไม่เกินงบประมาณที่มีอยู่นั้น  เป็นการกระทำภายหลังเหตุที่นายจงกลได้กระทำการฉ้อโกงเงินจากกองคลังสำเร็จผลไปแล้ว  ถึงแม้จำเลยจะตรวจพบรายการจ่ายเงินอันเนื่องมาจากการทุจริต  หรือจำเลยกระทำการโดยบกพร่องประการใดก็ตาม  ก็ไม่อาจยับยั้งการจ่ายเงินของแผนกเงินกองคลังได้  เพราะได้จ่ายเงินไปแล้ว  ความเสียหายที่โจทก์ได้รับหาใช่ผลโดยตรงมาจากการกระทำของจำเลยไม่  จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์  ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น  ชอบแล้ว  ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน