โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประกอบธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ จำเลย เป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์โจทก์ได้ตรวจพบว่า จำเลยได้ทำการซื้อขายหลักทรัพย์ ลูกค้าของโจทก์โดยพลการ นอกเหนือคำสั่งของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 3,965,081.16 บาท วันที่ 11 มกราคม 2523 จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ด้วยวิธีผ่อนชำระเป็นรายเดือน ๆ ละ 8,000 บาท จำเลยได้ผ่อนชำระเงินให้โจทก์แล้ว 11 งวด เป็นเงิน 88,000 บาท และโจทก์ให้กำไรจากการขายหุ้นอีก 338,400 บาท และนำเงินสะสมของจำเลยจำนวน 58,839 บาทมาหักชำระหนี้แล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์จำนวน 3,479,842.16 บาทโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน3,479,842.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้กระทำการซื้อขายหุ้นโดยพลการนอกเหนือคำสั่งโจทก์ โจทก์สั่งให้จำเลยลงชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้เพื่อให้มีหลักฐานทางบัญชีครบถ้วน โดยโจทก์แจ้งว่าทำหลักฐานขึ้นเพื่อประโยชน์ในการลงบัญชีเท่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะบังคับให้จำเลยรับผิด หนังสือรับสภาพหนี้เกิดขึ้นด้วยเจตนาลวงจำเลยไม่ต้องรับผิด จำเลยมิได้ผิดนัดต่อโจทก์ เพราะตามหนังสือรับสภาพหนี้ต้องผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนภายในวันที่ 11 ของทุกเดือนวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยยังมิได้ผิดนัดงวดประจำวันที่ 11 พฤษภาคม 2526และงวดต่อ ๆ ไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ได้รับชำระเงินจากจำเลยจำนวน 88,000 บาท และได้หักเงินสะสมของจำเลยจำนวน 58,839 บาทไว้เป็นการชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่เกิดด้วยเจตนาลวงโจทก์ต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับโจทก์ให้ชำระเงินจำนวน 146,839 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ได้เกิดจากเจตนาลวง โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งจำเลยก็ได้สารภาพผิดต่อโจทก์ยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ แม้การชำระหนี้ในงวดต่อไปจะยังไม่ถึงกำหนดชำระ ก็ถือว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้สละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นแล้ว เงินจำนวน 88,000 บาท ที่โจทก์รับจากจำเลย และที่โจทก์หักเงินสะสมของจำเลยจำนวน 58,839 บาทเป็นการรับชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์ไม่ต้องคืนให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,479,842.16 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 146,839 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ปัญหาที่จะวินิจฉัยประการต่อไปมีว่าหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย ล.2 เกิดจากเจตนาลวงซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย ล.2 แล้ว จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์รวม 11 งวด เป็นเงิน88,000 บาท และเมื่อจำเลยลาออกจากงานโจทก์ได้หักเงินสะสมของจำเลยจำนวน 58,839 บาท ชำระหนี้โจทก์ จำเลยก็ไม่ได้ทักท้วงประการใดแสดงให้เห็นว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาให้หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวมีผลผูกพันใช้บังคับได้ตามกฎหมาย มิใช่เป็นการแสดงเจตนาลวงดังที่จำเลยต่อสู้ และข้อที่จำเลยอ้างว่าผ่อนชำระหนี้ก็เพื่อให้หนังสือรับสภาพหนี้สมจริง ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผล รับฟังไม่ขึ้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวมีผลผูกพันใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยจะต้องปฏิบัติตาม จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียง 11 งวด เป็นเงิน 88,000 บาท แล้วไม่ผ่อนชำระอีก โจทก์มีหนังสือทวงถามตามเอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยเพิกเฉยและเมื่อถูกฟ้องคดีจำเลยก็ยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า หนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อให้มีหลักฐานทางบัญชีครบถ้วน หนังสือรับสภาพหนี้เกิดขึ้นด้วยเจตนาลวง จำเลยไม่ต้องรับผิดแสดงว่าจำเลยปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ทั้งหมด ถือได้ว่าจำเลยไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ยังค้างชำระทั้งหมดได้ และเมื่อจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้ และเงินที่จำเลยได้ผ่อนชำระให้โจทก์แล้วจำนวน 88,000 บาท กับเงินสะสมของจำเลยจำนวน 58,839 บาท ที่โจทก์หักชำระหนี้รวมกันแล้วยังไม่พอจำนวนหนี้ จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้คืนจากโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีในตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น