โจทก์ฟ้องว่า วันเกิดเหตุเวลากลางคืน ขณะโจทก์และผู้อื่นประมาณ ๒๐ คน กำลังจับปลาอยู่ในหนองน้ำสาธารณะมีชื่อแห่งหนึ่งจำเลยได้ใช้ปืนลูกซองยาวยิงโจทก์ติดต่อกัน ๓ นัด โดยมีเจตนาฆ่ากระสุนปืนถูกร่างกายโจทก์ ๑๓ แห่ง เนื่องจากได้รับการรักษาดีทันเหตุการณ์และเวลา โจทก์จึงไม่ตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และริบปืน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันทรัพย์และชีวิตพอสมควรแก่เหตุ พิพากษายกฟ้อง ปืนและปลอกกระสุนปืนให้คืนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์เฉพาะข้อกฎหมายที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ซึ่งศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า ที่เกิดเหตุเป็นที่ลุ่มเป็นหนองขังน้ำที่มิใช่หนองสาธารณะ มีคันล้อมรอบ มีประตูระบายน้ำใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลาของจำเลย อยู่ในที่ดินที่จำเลยครอบครอง บริเวณแถบนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ก่อนเกิดเหตุราว ๑๐ วัน เครื่องสูบน้ำที่ขอบหนองหายไปคืนเกิดเหตุซึ่งเป็นคืนที่มืดมองเห็นกันไม่ถนัดโจทก์กับพวกประมาณ ๒๐ คนไปลักลอบหาปลาที่หนองน้ำดังกล่าว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนจำเลย จำเลยเคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งครบเกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้ว จำเลยเคยบวชเรียนแล้ว เป็นคนมีใจคอเยือกเย็น และใจบุญ ตอนจะเกิดเหตุจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนเดินไปที่เกิดเหตุเงียบ ๆ โดยไม่ได้ฉายไฟฉายเพื่อมาดูเหตุการณ์ก่อน เมื่อมาถึงในระยะไม่ไกลที่เกิดเหตุจำเลยได้ยินเสียงคนลักลอบหาปลามีจำนวนมาก จำเลยจึงยิงปืนขู่ขึ้น ๑ นัดโจทก์กับพวกที่หาปลาจึงแตกตื่นวิ่งหนีกันสับสน หลายคนรวมทั้งโจทก์วิ่งมาทางจำเลยกับพวก เพราะความมืดมองเห็นกันไม่ถนัด ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และไม่รู้ว่าผู้ใดมีอาวุธอะไรติดมือมาบ้าง ทำให้จำเลยเข้าใจว่า พวกที่ลักลอบจับปลาซึ่งกำลังวิ่งมานั้นจะเข้ามาทำร้ายตนจำเลยจึงใช้ปืนยิงเดาสุ่มไป ๑ นัด แล้วยิงขึ้นฟ้าอีก ๑ นัดแล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โดยเหตุที่มีคนมาลักลอบจับปลาที่บ่อปลาของจำเลยเป็นจำนวนมากในเวลาค่ำคืน จำเลยยิงปืนขู่ขึ้น ๑ นัดย่อมเป็นการป้องกันทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ เมื่อยิงปืนแล้วคนลักจับปลาของจำเลยยังวิ่งสวนทางตรงเข้ามาหาจำเลยเป็นจำนวนหลายคนด้วยความมืดจำเลยไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเป็นผู้ใดบ้าง และมีอาวุธอะไรมาบ้างผู้ที่ตกอยู่ในฐานะเช่นเดียวกับจำเลยอาจคาดคิดไปได้ว่าคนเหล่านั้นจะเข้ามาทำร้ายจำเลย การวิ่งสวนทางมาทางเสียงปืนตามธรรมดาก็ย่อมทำให้จำเลยเข้าใจว่าคนเหล่านั้นน่าจะมีอาวุธจึงได้กล้าวิ่งเข้ามาหาปืนเช่นนั้น ฉะนั้น การที่จำเลยใช้ปืนยิงสุ่ม ๆ ไปยังคนกลุ่มที่วิ่งมาหานั้นเพียง ๑ นัด (ถูกโจทก์บาดเจ็บสาหัส) ถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวจำเลยเองให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงแล้วก็ยิงขึ้นฟ้าเป็นการขู่อีกหนึ่งนัด ไม่ได้ยิงซ้ำเติมไปยังพวกโจทก์อีกย่อมนับได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงต้องด้วยมาตรา ๖๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา จำเลยไม่มีความผิด
พิพากษายืน