โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ปืนลูกซองยาวโยนลำแบบ ๕ นัด เป็นอาวุธตีนายสมชายถูกบริเวณไหล่ซ้ายได้รับอันตรายแก่กาย และยิงนายสมชาย๑ นัด โดยเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้นายสมชายได้รับอันตรายสาหัส และสั่งคืนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลางแก่กรมตำรวจ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยใช้ปืนตีผู้ตายแต่ไม่ถึงกับได้รับอันตรายแก่กายแล้วจำเลยใช้ปืนยิงนายเกษม แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๖๐, ๓๙๑ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘, ๖๐ อันเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลย ๒๐ ปี คืนอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลางแก่กรมตำรวจ
จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ใด เหตุที่กระสุนปืนลั่นไปถูกผู้ตายเพราะนายเกษมดึงปืนจากมือจำเลย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยยิงนายเกษม แต่พลาดไปถูกผู้ตาย ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสารสำคัญและทำให้จำเลยหลงต่อสู้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ลดโทษให้จำเลย ๑ ใน ๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลย ๑๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ใช้ปืนของกลางตีผู้ตายล้มลงนายเกษมเข้าห้าม จำเลยจึงใช้ปืนของกลางยิงนายเกษม แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๐ตามนัยฎีกาที่ ๖๕๑/๒๕๑๓ แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๘๔/๒๕๐๙ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์ นายกลิ้ง พงษ์บัว โจทก์ร่วมนายช่วง นัยบำเพ็ญ จำเลย แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๖๐, ๓๙๑ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘, ๖๐ อันเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ นั้น ไม่ถูกต้องเพราะความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายกับความผิดฐานเจตนาฆ่านายเกษมพยานโจทก์แต่พลาดไปถูกผู้ตาย เป็นความผิดต่างกระทงกัน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๖๐ ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา ๙๑นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์