โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยที่ ๑  เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมาย  โจทก์ที่ ๑ ถือหุ้น ๑๐ หุ้น  โจทก์ที่ ๒ ถือหุ้น ๙ หุ้น  จำเลยที่ ๒, ๓, ๔  เป็นประธานกรรมการและกรรมการของบริษัท  ถือหุ้นคนละ ๑ หุ้น  จำเลยที่ ๕ ถือหุ้น ๑ หุ้น  กิจการของบริษัทคงมีอยู่จนบัดนี้  จำเลยที่ ๒, ๓, ๔  ในฐานะคณะกรรมการมิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหลายประการ  ต่อมาจำเลยที่ ๕  ยื่นฟ้องบริษัทจำเลยที่ ๑ต่อศาลแพ่ง  ขอให้เลิกบริษัท และขอให้จำเลยที่ ๖, ๗  เป็นผู้ชำระบัญชี  จำเลยที่ ๒  ในฐานะประธานกรรมการยื่นคำให้การปฏิเสธฟ้องว่าบริษัทจำเลยที่ ๑  ไม่เคยหยุดกิจการถึง ๑ ปี  และกิจการไม่ขาดทุน  แล้วต่อมาจำเลยที่ ๒  กับจำเลยที่ ๕ สมยอมกันประนีประนอมยอมความต่อศาล  ยอมเลิกบริษัทจำเลยที่ ๑  แต่ตั้งจำเลยที่ ๖, ๗  เป็นผู้ชำระบัญชี  ศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น  ปรากฏตามคดีแดงที่ ๒๖๙๐/๒๕๐๐  ของศาลแพ่ง  หลังจากนั้นจำเลยที่ ๖, ๗  ได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเลิกบริษัทต่อหอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง  กระทรวงเศรษฐการ  แต่นายทะเบียนปฏิเสธการขอจดทะเบียนอ้างว่าศาลมิได้พิพากษาให้บริษัทเลิกจากกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๓๗  จำเลยจะปฏิบัติตามยอมความต้องประชุมมติพิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๙๔  โจทก์ทราบเรื่องได้มีหนังสือทักท้วงจำเลยที่ ๖, ๗  ให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่  จำเลยที่ ๕, ๗  ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาประนีประนอมยอมความโดยขอให้ศาลสั่งให้บริษัทจำเลยที่ ๑  เลิกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๓๗  ศาลสั่งอนุญาตให้แก้ได้  ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย  การที่จำเลยที่ ๕  สมยอมให้ศาลสั่งเลิกบริษัท  ทำให้ผู้ถือหุ้นและโจทก์เสียหาย  ทั้งบริษัทจำเลยที่ ๑  ไม่มีเหตุที่จะเลิกตามมาตรา ๑๒๓๗  การเลิกบริษัทต้องดำเนินตามมาตรา ๑๑๙๔  คือ  ต้องประชุมมติพิเศษจึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแดงที่ ๒๖๙๐/๒๕๐๐  ของศาลแพ่ง  และเพิกถอนการสั่งเลิกบริษัทจำเลยที่ ๑ เสียและให้จำเลยที่ ๖, ๗ พ้นจากหน้าที่ผู้ชำระบัญชีของบริษัทจำเลยที่ ๑ ด้วย
จำเลยให้การว่า  ศาลพิพากษาให้เลิกบริษัทจำเลยที่ ๑  และแต่งตั้งจำเลยที่ ๖, ๗  เป็นผู้ชำระบัญชีชอบแล้ว  บริษัทจำเลยที่ ๑  ได้หยุดกิจการมาเกิน ๑ ปี  จริง  จึงตกลงรับข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องในคดีแดงที่ ๒๖๙๐/๒๕๐๐ มานั้น  มิใช่เป็นการสมยอม  และที่ศาลสั่งอนุญาตให้แก้ข้อความในคำพิพากษาเป็นการแก้ไขเล็กน้อย  ศาลมีอำนาจให้แก้ได้
ระหว่างพิจารณา  จำเลยแถลงรับว่าจำเลยที่ ๒  เป็นบิดาจำเลยที่ ๕ จริง  โจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานบุคคล  คงอ้างแต่พยานเอกสาร
ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า  สัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้กระทำต่อศาลให้เลิกบริษัท  ไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย  พิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ ๒๖๙๐/๒๕๐๐  เป็นโมฆะเสียเปล่าไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย  ให้ถือว่าบริษัทจำเลยที่ ๑  ยังมีสภาพอยู่ตามเดิม  ไม่เลิก  หากมีการกระทำใด ๆ ทางทะเบียนเกี่ยวกับการเลิกบริษัทให้เพิกถอน
จำเลยทั้ง ๗ อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  สัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อศาลพิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว  ศาลสั่งเพิกถอนไม่ได้  เว้นแต่เป็นการฉ้อฉลหรือสมยอมกัน  เมื่อโจทก์ไม่สืบว่าจำเลยที่ ๕ กับจำเลยที่ ๒  ได้สมยอมกัน  สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ ๒๖๙๐/๒๕๐๐  ยังสมบูรณ์อยู่  ส่วนการแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นการแก้ไขตามเหตุที่ฟ้องไว้  มิใช่แก้ไขข้อสาระสำคัญ  สัญญายอมความนั้นยังคงสมบูรณ์ตามกฎหมาย  พิพากษากลับ  ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  การที่จำเลยที่ ๕ ฟ้องคดีแพ่งแดงที่ ๒๖๐/๒๕๐๐ ขอให้เลิกบริษัทจำเลยที่ ๑  แล้วจำเลยที่ ๒  ซึ่งเป็นประธานกรรมการของบริษัท ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้เลิกบริษัท  ศาลพิพากษาตามยอม  หากการกระทำของจำเลยเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย  แม้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นจะขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมไม่ได้  แต่ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีปลดเปลื้องความเสียหายได้  โดยมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าคำพิพากษานั้นไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ผู้ถือหุ้นในอันที่จะให้บริษัทจำเลยที่ ๑  คงมีอยู่ต่อไป  โจทก์กล่าวอ้างเป็นหลักแห่งข้อหาว่า  การตกลงกันเลิกบริษัทต้องประชุมใหญ่มีมติพิเศษให้เลิกบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๙๔, ๑๒๓๖ (๔)  ดังนั้น  การที่จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๕ ตกลงกันเพียง ๒  คนให้เลิกบริษัท  จึงเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายโดยอาศัยศาลเป็นเครื่องมือ  ศาลได้พิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่ามีเหตุที่จะเลิกบริษัทดังฟ้องไม่  เมื่อการกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะขอจดทะเบียนเลิกบริษัทอันเป็นการกระทำความเสียหายแก่โจทก์ได้  ปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษากลับ  ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น